Fic FFXV Taste the feeling 03 [IgnisGladiolus]

Standard

Title : Taste the feeling
Chapter : Intro
Fandom : Final Fantasy XV
Pairing : Ignis Scientia/Gladiolus Amicitia
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* ฟิคเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อเรื่องเกม เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น

 

คืนนี้ถ้านายว่าง ดื่มกันเถอะ สักสองทุ่มฉันจะแวะไปหานะ
เสียงทุ้มแหบของเพื่อนซี้ที่เพิ่งวางสายไปดังก้องในสมอง เพราะคบกันมานาน แค่ฟังจากเสียงก็เดาได้ว่ากลาดิโอลัสกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ
ปกติวันหยุดของเพื่อนแสนร่าเริงคนนั้นจะเป็นการนอนขลุกอ่านหนังสือในห้องและซดบะหมี่ถ้วยของโปรด มีบางวันที่ตัวเขาโทรเรียกให้มากินข้าวเย็นที่นี่ เจ้านั่นชอบเตือนน็อกทิส เพื่อนรุ่นน้องให้หัดกินผักเสียบ้าง แต่ตัวเองดันกินแต่ของแบบนั้นน่ะนะ ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะชอบทำให้เป็นห่วงซะจริง!
คุณอิกนิสครับ…ลูกมือคนหนึ่งสะกิดเรียกหัวหน้าที่ยืนนิ่งจ้องหัวหอมราวกับถูกกดปุ่มหยุดไว้ ใบหน้าเรียบนิ่งหันมาหาช้าๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

อ่าไม่มีอะไรครับ ผมเห็นยืนเหม่อเลยคิดว่าอาจจะเหนื่อย
“…เปล่า คืนนี้มีลูกค้าจองโต๊ะรึเปล่า?” เจ้าของร้านถามเสียงเรียบเปลี่ยนเรื่อง
ไม่มีครับ คิดว่าเพราะฝนตกบ่อย คงไม่อยากออกมากินอาหารนอกบ้านกันเท่าไหร่ชายคนนั้นตอบพลางสะบัดกระทะซอสหวาน
อืม งั้นสักทุ่มกว่าๆ ก็ทยอยปิดเตาแล้วกันอิกนิสเปรยพลางคำนวณว่ากลาดิโอจะมาถึงร้านเมื่อไหร่ อาจจะสองทุ่มนิดๆ ปกติร้านปิดเกือบสามทุ่ม แต่วันนี้จะใจดีกับลูกน้องให้กลับก่อนเวลาก็ได้ ถึงทุกคนจะจำกลาดิโอลัสได้แล้วแต่อย่างไรซะ เขาก็ชอบอยู่กับกลาดิโอลัสสองคนอยู่ดี
ครับ
.
.
.
งานครัวเป็นงานร้อน แต่ต้องใช้ความใจเย็นผู้ปรุงสูง การทำอาหารจานหนึ่งไม่ใช่แค่ตักๆ ตวงๆ โปะๆ กันแล้วจะได้อาหารออกมา มันมีอะไรมากกว่านั้น คำนวณจำนวนวัตถุดิบ อุณหภูมิและสถานที่เก็บที่ส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของวัตถุดิบนั้นๆ กะเวลาในการใช้ความเย็น ความร้อน ดังนั้นอาหารที่ใช้ความชำนาญและหัวใจปรุงจึงออกมาอร่อย
กลาดิโอลัสเท้าคางมองแผ่นหลังของอิกนิสเฉกเช่นทุกครั้ง มือหมุนห่อคุกกี้ของน้องสาวเล่นไปพลางรอเพื่อนที่ง่วนอยู่หน้าเตา กลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อในหม้อต้มหอมจนน้ำลายสอ เขามาถึงร้านอิกนิสเกือบๆ สองทุ่มครึ่ง วันนี้ดูเหมือนร้านจะปิดเร็วเพราะลูกมือกลับไปกว่าครึ่งตอนเขามาถึง จนตอนนี้ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว
อิกนิส อีกนานไหม?” ร้องถามเสียงเนิบนาบ เจ้าของชื่อหันกลับมามองเด็กโข่งที่เกลือกโต๊ะไปมา
อีกแป๊บ ทำไม?”
ฉันหิวแล้ว เมื่อบ่ายทะเลาะกับพ่อซะจนอาหารบนโต๊ะหมดอร่อยเลยเสียงทุ้มว่า คนรับฟังยังคงตอบกลับด้วยเสียงก๊องแก๊งและกลิ่นหอมฉุยของสตูเนื้อ ไม่นานนักถ้วยสองถ้วยถูกวางบนโต๊ะ ตามมาด้วยสเต๊กและสลัด
กินให้จบแล้วค่อยบ่นเจ้าของร้านตอบกลับด้วยน้ำเสียงเข้มงวด รอจนอีกฝ่ายจับอุปกรณ์กินอาหารแล้วจึงยอมเลิกจ้อง
แต่ฉันอัดอั้นนี่หว่า รู้ไหมพ่อบอกว่าฉันน่ะนะเลี้ยงเสียข้าวสุก บ้าจริงๆ เลย ที่ฉันเป็นทหารให้ตอนนั้นมันไม่พอรึไงกัน
เดี๋ยวสำลักพอโดนดุก็ยอมกินเงียบๆ อย่างที่อิกนิสต้องการแต่ก็เงียบได้ไม่นาน
ทำไมพ่อถึงต้องยึดติดกับมันขนาดนั้นด้วย…โอเคๆปิดปากลงอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย รีบจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเร่งด่วนเพื่อจะได้ระบายความอัดอั้นเสียที พอผักสลัดคำสุดท้ายถูกย่อยลงกระเพาะเจ้าตัวก็อ้าปากพูดทันที
ก็แค่ฉันไม่อยากเป็นทหาร ไม่เห็นต้องโกรธกันขนาดนั้นเลย ตำแหน่งนั่นมันสำคัญนักรึไงกัน เผด็จการ!” สารพัดคำบ่นของกลาดิโอลัสลอยมาเข้าหูผู้ฟังที่ยังคงละเอียดกินอาหารอย่างสุขุม นัยน์ตาสีเขียวเหลือบมองริมฝีปากที่ขยับไปมาเป็นครั้งคราวเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าสนใจฟังอยู่ เมื่อจัดการมื้ออาหารเสร็จก็ลุกไปหยิบวิสกี้ในตู้มารินใส่แก้วน้ำแข็งให้คนที่นั่งฝอยจนปากแห้ง ปกติอิกนิสไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่ แต่การดื่มพอประมาณช่วยให้หลับง่ายขึ้น

กลาดิโอลัสเป็นพวกมีอะไรต้องพูดออกมา ไม่เช่นนั้นจะเก็บไปคิดจนนอนไม่หลับ ไม่ชอบอะไรค้างคา เห็นจะมีก็แต่เรื่องที่มีปากเสียงกับคุณเคลรัสนี่แหละที่คาราคาซังมานาน ตอนช่วงวัยรุ่นก็มาหมกตัวที่ร้านบ่อยๆ มาให้ทำแผลให้บ้างละ ไม่อยากกลับบ้านบ้างละ บางวันคนขับรถมานั่งรอที่หน้าร้านก็มี ตอนนั้นตัวอิกนิสเองก็มองว่าเจ้าเพื่อนบ้าพลังคนนี้มันดื้อเกินไป แต่เอาเข้าจริงๆ คุณเคลรัสเองก็เคี่ยวเข็ญเรื่องหน้าที่เกินไปหน่อย ถ้าผ่อนบ้างหมอนี่อาจจะยอมเป็นทหารให้ตลอดก็ได้

“ทำยังไงดีล่ะ อิกนิส” พอบ่นเสร็จจู่ๆ ก็โยนคำถามมาให้เสียอย่างนั้น

“…ในฐานะคนกลาง ฉันมองว่านายควรจะใจเย็นกว่านี้ ก็รู้ว่าคุณเคลรัสพ่อตัวเองเป็นยังไง ยิ่งไปขวางก็ยิ่งโมโห ดูอย่างไอริสสิ ทำได้ถึงขนาดให้นายไปนั่งร่วมโต๊ะกับเขาได้เลยนะ”

“ก็ใช่หรอก แต่มันอดไม่ได้นี่หว่า จะให้นั่งฟังคำด่าเฉยๆ หรือไง ได้ใจกันพอดี”

“ที่เขาด่าก็เพราะเขาคาดหวังกับนายที่เป็นลูกชายคนเดียวไงล่ะ” ผู้ให้คำปรึกษาว่าแล้วก็ยกแก้วสุราขึ้นจิบ แอบคิดในใจว่าก็พอกันทั้งพ่อทั้งลูกน่ะแหละ วางลงบ้างก็ได้ไอ้พวกทิฐิกับศักดิ์ศรีบนบ่าน่ะ แต่เลือกพูดให้เบาลงเพื่อความสบายใจของคนมาปรึกษา “ที่จริง ถ้าคุยกันดีๆ แต่แรกก็ไม่ลากยาวขนาดนี้หรอกมั้ง”

“…เฮ้อ” คนโดนเทศน์เบ้หน้าแล้วถอนใจเป็นการประชดที่ไม่ยอมเข้าข้างกัน มือใหญ่ยกแก้วขึ้นดื่มอึกๆ ดวงตาใต้เลนส์แว่นมองตามจังหวะการขยับของลูกกระเดือกแล้วเบนตาหนี ชายหนุ่มผู้นิ่งเฉยกำลังต่อสู้กับความต้องการส่วนลึกของตัวเอง ท่องในใจว่า เพื่อน… เป็นอย่างตอนนี้ก็ดีแล้ว

“จะลองดูละกัน ฉันก็ไม่ชอบที่ต้องมาคิดเรื่องน่าอึดอัดแบบนี้นักหรอก” ว่าแล้วก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ไว้โทรหาไอริสอีกทีดีกว่า ยายนั่นคงจะเป็นคนที่อึดอัดกับเรื่องนี้ที่สุดแล้วละมั้ง ไม่งั้นคงไม่ชวนไปกินข้าวที่บ้านหรอก รู้สึกผิดชอบกลแฮะ ไม่เคยทำผู้หญิงที่ไหนร้องไห้แต่ดันทำน้องสาวตัวเองร้องไห้แทนซะนี่

จะว่าไป… ยายนั่นฝากคุกกี้มาให้เจ้าแว่นนี่ช่วยชิมนี่นา คุณพี่ชายแสนดีฉุกคิดขึ้นมาได้ทั้งที่ก็ยังจับเล่นตอนรอกินข้าว เขาเลื่อนห่อคุกกี้ข้าวโอ๊ตของมือใหม่หัดอบไปตรงหน้าพ่อครัวมือฉมัง

“คือ?”

“คุกกี้ที่ยายตัวแสบทำ ยายนั่นบอกว่าให้นายชิมแล้วบอกด้วยว่าเป็นยังไง”

มือขาวยื่นมาแกะห่อขนมแล้วหยิบเข้าปาก กลิ่นเนยและกล้วยหอมอวลอยู่ภายในปาก สัมผัสหยาบนิดๆ ของข้าวโอ๊ตถูกกลบด้วยเนื้อนิ่มของกล้วยที่นำมาผสมแล้วเพิ่มความหวานเจือขมด้วยช็อกโกแลตสับ ตาเรียวสวยมองเจ้าของร้านชื่อดังที่เคี้ยวคุกกี้ของน้องสาวตัวเองพลางลุ้นคำวิจารณ์ราวกับตัวเองเป็นคนทำเอง

“ฉันชอบนะ เป็นคุกกี้ข้าวโอ๊ตที่กินง่ายดี”

ร่างสูงพยักหน้ารับคำวิจารณ์แทนคนทำ ตอนโทรไปครั้งหน้าค่อยบอกละกัน ได้คำชมแบบนี้คงจะทำเจ้านี่มาให้กินอีกเป็นกองเลยละมั้ง แบบนี้คงไม่ต้องห่วงเรื่องหาเจ้าบ่าวแล้วละมั้ง ห่วงก็แค่ใครจะมาตกหลุมเด็กแก่นๆ แบบนั้นน่ะแหละ แต่ว่า…เจ้าอิกนิสไม่ค่อยชมคนอื่นว่าทำอาหารอร่อยเลยนี่หว่า รึว่า?! นิสัยคนหวงน้องเริ่มทำงานในทันทีจึงดันหัวข้อใหม่เพื่อขุดคุ้ยข้อมูลที่ตนอยากรู้

“นานๆ นายจะชมฝีมือคนอื่นนะเนี่ย แบบนี้น้องสาวฉันคงไม่ต้องห่วงเรื่องทำอาหารให้คนรักแล้วสินะ”

“ทำขนมได้ใช่ว่าจะทำอาหารคาวอร่อย…”

อุ๊ก…! ฟังแล้วเจ็บแทนไอริสเบาๆ ไม่เคยเห็นไอริสทำเมนูของคาวซะด้วยสิ

“แต่นายทำได้นี่ สาวที่ได้เป็นเจ้าบ่าวคงใจดีแย่”

“คงจะอย่างนั้น” ตอบกลับมาแบบคลุมเครือชวนให้สงสัยว่าเพื่อนสุดเนี้ยบตรงหน้ามีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ

“แสดงว่า…มีสาวที่มองไว้แล้วสินะ…” นักสืบจำเป็นโน้มตัวเข้าไปจ้องดวงตาเขียวเข้มใต้เลนส์ใส ทั้งอยากรู้เรื่องของเพื่อน และเพื่อคาดเดาว่าคนคนนั้นใช่น้องสาวของตนรึไม่

“……” อิกนิสมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้ราวจะเค้นเอาความจริงที่ซุกซ่อนไว้ในใจ แววตาที่เต้นระริกเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้นชวนให้มองได้ไม่รู้เบื่อ

“ไม่อยากตอบงั้นสิ” เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเงียบไปจึงตีความไปทางนั้นแทน

“เปล่า… อยากรู้จริงน่ะเหรอ” พอถามไปอย่างนั้นก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกๆ แทน แค่อยากรู้ว่าชอบไอริสรึเปล่าเท่านั้นละมั้ง คนอย่างเจ้าบ้านี่… แต่ว่า… ถ้าอยากรู้ละก็…

“อืม ก็มองอยู่”

“นั่นไง!” มือใหญ่ประกบกันดังป๊าบ ชายวัยยี่สิบปลายทำหน้าคล้ายดีใจที่สันนิษฐานได้ถูกต้อง แม้จะยังไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นใคร พอดื่มของเหลวเพิ่มระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเข้าไปแล้วก็กลับมาสนใจหัวข้อรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่ค่อยได้คุยกับอิกนิสสักเท่าไหร่ หัวข้อเกี่ยวกับสาวๆ มักจะเป็นพรอมพ์โตซะส่วนใหญ่ที่เปิดประเด็น แต่ชายสวมแว่นแสนสุขุมคนนี้ไม่ค่อยจะออกความเห็นเท่าไหร่ ไม่คิดว่าจะมีเล็งใครไว้ด้วย

“สวยไหม?”

“อยากรู้ไปทำไม”

“ก็อยากรู้ไงเล่า บอกกันหน่อยไม่ได้รึไง”

อิกนิสมองเพื่อนสนิทที่ลืมเรื่องกลุ้มใจของตัวเองไปเรียบร้อยพลางเรียบเรียงสติของตน ท่าทางอย่างนั้น ถ้าทำให้ตกใจจะเป็นยังไงนะ…? ถ้าตาสวยนั่นเบิกกว้างขึ้นเพราะคำพูดที่บอกไปคงจะตลกไม่น้อย ถ้าอยากรู้มากละก็… คนสวมแว่นขยับมือเรียกให้อีกฝ่ายยื่นหน้ามาใกล้ ล่อลวงด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างที่ทำเป็นประจำให้ตายใจ ดวงหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้ามาหาด้วยความอยากรู้แสนซื่อ ไม่แม้แต่จะชะงักเมื่อถูกมือข้างหนึ่งจับช่วงลำคอไว้ ใบหน้าสวมแว่นขยับเข้าหา ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าผิดปกติก็ตอนที่ริมฝีปากทาบทับลงมาแล้วขยับเม้มอย่างเชื่องช้า

สมองที่ประมวลด้วยความเร็วเท่าเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิกสรุปได้ว่านุ่มและอุ่น รู้สึกเหมือนจังหวะหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง แต่ก่อนจะได้ผลักไส สัมผัสนั่นก็ละออกพร้อมกับสายตาที่แปลกไปของเพื่อนซึ่งคบกันมากกว่าครึ่งชีวิต หูได้ยินเสียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเจือหยอกเย้าในที

“นายไง”

 

 

!!!

ร่างสูงลุกพรวดขึ้นจากการนอน ดวงตาเบิกโพลงมองล่อกแล่กไปมาในห้องที่เงียบสงบ หัวใจเต้นโครมครามจนรู้สึกได้แม้ไม่สัมผัสหน้าอก จมูกโด่งสูดอากาศเข้าปอดเพื่อเรียกสติที่กระเจิงกระจายให้กลับเข้ามา ริมฝีปากกระจับได้รูปเม้มเบาๆ ก่อนจะชันเข่าขึ้นซุกหน้าลง ส่งเสียงคำรามในลำคอคล้ายจะตะโกนออกมาแต่ก็เกรงใจคนข้างห้อง กลาดิโอลัสกำลังรำคาญและอัดอั้นใจจนนอนหลับๆ ตื่นๆ สองมือกร้านขยำขยี้ผมของตัวเองไปพลางหงุดหงิดตัวเองไปพลาง

สัมผัสร้อนผ่าวที่ควรจะหายไปนานแล้วความรู้สึกกลับติดแน่นจนอยากจะทึ้งหัวตัวเองให้ตายไปเสีย พอหลับตาลงมันก็สะท้อนภาพของนัยน์ตาสีสวยที่สบมองมา เสียงนุ่มและคำพูดซึ่งสะท้อนก้องวนเวียนอยู่ในสมอง ผลพวงจากการไปปรึกษาปัญหาครอบครัวกับอิกนิสรุนแรงเกินคาด แทนที่จะสบายใจขึ้นไหงกลายเป็นว่ามีเรื่องคาใจงอกขึ้นมาเป็นสองเรื่องล่ะ?!

ชายหนุ่มรู้ว่าอิกนิสไม่ใช่พวกขี้แกล้ง มันไม่ใช่การล้อเล่น แต่…มันจะใช่เหรอ ณ มุมหนึ่งมีความคิดนี้ขึ้นมา อิกนิสคนนั้นน่ะนะ?! คนที่ทุกสิ่งอย่างต้องเป๊ะ เรียบร้อยอย่างที่ควรเป็น คนที่อยู่ในกรอบ กฎระเบียบทุกอย่าง ขนาดตอนเป็นวัยรุ่นแม้แต่เสื้อเชิ้ตยังไม่เป็นชายเสื้อแลบออกจากกางเกงสักครั้ง ไม่คิดแม้จะสนใจมองสาวหรือพวกเรื่องใต้สะดือแม้แต่น้อยคนนั้น!!!!!!

“อ๊ากกกกกกกกกกกกก” อ้าปากส่งลมออกจากปอดแบบไร้เสียงแต่ร่างกายขยับเด้งไปมาจนเสียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไม่เกรงใจห้องข้างเคียง และแล้วคืนนั้นชายผู้คิดมากก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น มัวแต่คิดว่าตอนเช้าจะมองหน้าอิกนิสยังไง จะพูดอะไร จะต้องทำตัวแบบไหน หรือจะฝากใครไปวิ่งเส้นทางของร้านสตูเพลดี

แต่สุดท้ายก็มาเองอยู่ดี ร่างสูงใหญ่ยืนยิ่งค้างอยู่หน้าประตูหลังของครัวสตูเพล กลาดิโอสูดลมหายใจเข้าออกพร้อมบอกตัวเองให้ใจเย็นอยู่อย่างนั้น หลังทำใจได้แล้วก็เคาะประตูหลังมีมารยาทต่างจากปกติที่เปิดเข้าไปทักทายทันทีที่ย่างกรายมาถึง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาซึ่งตรงเข้ามาใกล้ส่งผลกับจังหวะหัวใจในอก

แกร๊ก

บานประตูเปิดออกพร้อมกับใบหน้าเรียบนิ่งตามปกติของอิกนิส สตูเพล สาเหตุของอาการนอนไม่หลับของคนส่งอาหารสดร่างหนาคนนี้ อิกนิสก้าวออกจากตัวอาคารเพื่อประชิดตัวผู้มาเยือนทันที คนตั้งตัวไม่ทันก้าวถอยหลังคล้ายผงะเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายสัมผัสใบหน้า

“นอนไม่พอ?”

“……อ่า อืม นิดหน่อย” กระแอมเบาๆ ก่อนจะตอบแล้วหมุนตัวเดินนำไปที่รถขนของ ไม่รู้ว่าตัวเองตอนนี้ทำหน้าแบบไหน หรือดูเป็นยังไง แต่ที่รู้คือยังไม่พร้อมจะมองหน้าเพื่อนสนิทคนนี้ เพราะเมื่อกี้แม้จะแค่แป๊บเดียวแต่สายตาก็ไปหยุดที่ปากของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ การเลือกวัตถุดิบดำเนินไปเช่นทุกวัน จะมีก็แต่ชายสองคนที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไหร่ คนหนึ่งก็เรียกให้อีกฝ่ายมาคอยรับของไปจากมือ ส่วนอีกคนก็ทำท่าจะเดินหนีไปได้ทุกเมื่อ

“กลาดิโอ มานี่หน่อย” ลูกค้าคนสนิทส่งเสียงอีกครั้งหลังเจ้าของชื่อเดินหนีไปอีกทางอย่างจงใจ กลาดิโอเดินกลับไปหาอิกนิสเป็นรอบที่หกของเช้านี้ ยื่นมือออกไปรับแพ็กเนื้อคางคกยักษ์แล้วทำท่าจะเดินกลับไปยังรถเข็นที่ปกติก็เข็นติดตัวมาด้วยตลอด แต่ก็โดนรั้งข้อมือไว้เสียก่อน

“อะไร”

“เข็นรถเข็นมาด้วยเลย” พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งอย่างไม่พอใจที่โดนหลบหน้า ชวนให้คิดว่าตัวเองเลือกเดินผิด ไม่น่าเลือกรุกไปข้างหน้าเพียงเพราะอยากลองเห็นสีหน้าเหรอหราของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร… ฉันถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว”

“มันเสียเวลา นายอยู่ตำแหน่งนี้มานานน่าจะรู้ดีนะ” เลือกหยิบเอาหน้าที่ความรับผิดชอบมาขู่ รถส่งของจะมีตารางวิ่งรถไปถึงร้านไว้อยู่แล้ว แม้จะเอื่อยเฉื่อยแค่ไหนก็ควรไปถึงตามตารางเดิมอยู่ดี

“ก็เลือกให้เร็วๆ สิ”

“ฉันเป็นลูกค้า ฉันมีสิทธิ์เลือกสินค้า…นานแค่ไหนก็ได้” พูดจายียวนผิดวิสัยแต่ก็ทำให้ฝ่ายให้บริการหน้ามุ่ยและยอมจำนนจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงระยะห่างไว้ด้วยทำตัวไม่ถูก อิกนิสเหล่มองด้วยหางตาก่อนจะพูดต่อ “ทำตัวปกติก็จบแล้ว”

“นายก็ทำตัวให้มันปกติสิ!” ขึ้นเสียงใส่เพราะเหมือนถูกอ่านใจได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เว้นระยะห่างขนาดนั้น ไอ้เหตุการณ์เมื่อคืนกับเมื่อเช้ามันตีผสมปั่นรวมกันเป็นน้ำผักผลไม้รวมอยู่ในหัวแล้วเนี่ย

“ฉันก็ทำตัวปกติ…” คนเลือกผักสดอยู่พูดคล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องแปลก “เพราะปกติฉันก็เอาใจใส่นายอยู่แล้ว”

“แต่ปกตินายก็ไม่ได้มาจับตัวหรืออะไรแบบนั้นนี่”

“อยากให้ฉันทำอะไรที่ต้องการตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ารู้สึกยังไงน่ะเหรอ”

ได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกนี่คือ…สนใจ หรือชอบมากกว่าเพื่อนอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ นี่สรุปจะบอกว่าเพราะเขาซื่อบื้อก็เลยมองการกระทำแสนใจดีนั่นเป็นปกติของเพื่อนคนนี้งั้นเหรอ ถึงจะรู้สึกว่ามันมากเกินไปนิดแต่ก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไรนี่หว่า กับน็อกทิสหรือพรอมพ์โต หมอนี่ก็ดูแลเหมือนกัน

“แล้ววันนี้จะดื่มกาแฟไหมล่ะ”

“ไม่เอา ดื่มมาแล้ว” ปัดโอกาสการอยู่ด้วยกันสองคนยามเช้าทิ้งอย่างไม่ไยดีด้วยยังเคืองที่บังอาจเป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับ แต่อันที่จริงคือเมื่อเช้ากลาดิโอลัสเดินโหลเหลไปพึ่งพาร้านกาแฟใกล้ห้องพักอย่างเร่งด่วน ถ้าไม่ซดเข้มๆ สองช็อตคิดว่าคงไม่น่าจะอยู่ถึงเย็น

พ่อครัวใหญ่ยักไหล่รับคำแล้วเลือกสินค้าต่อ ไม่เซ้าซี้อะไรเพื่อให้อีกฝ่ายหนีห่างกว่าเดิม จะพยายามคงระยะห่างไว้แบบนี้ละกัน… เท่าที่ทำได้น่ะนะ แต่ถ้าเจ้าตัวยังไม่ชอบใจหรือรู้สึกในเชิงนั้นก็ไม่คิดจะบังคับ สองหนุ่มปล่อยระยะห่างที่เกิดขึ้นไว้ไปจนกลาดิโอลัสขับรถออกไป

กลาดิโอลัสปล่อยลมหายใจออกมาพร้อมกับฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถหลังเลี้ยวเข้ามาจอดในซอยเล็กหลังร้านอีกแห่ง ไม่ชอบความรู้สึกชวนอึดอัดที่เกิดขึ้น มันไม่เหมือนความรู้สึกตอนเถียงกับผู้มีพระคุณอย่างบิดา ไม่ได้รุนแรงจนรู้สึกผิด แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่ทิ้งระยะห่างกับเพื่อนที่คอยช่วยเขาเรื่อยมา

ทำยังไงดีล่ะ? เลิกคบ? ก็ดูจะเกินไปหน่อย ไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายหรือทำอะไรแย่ๆ ใส่ซะหน่อย ครุ่นคิดหาวิธีปรับความเข้าใจพลางจดสินค้าที่ลูกค้าต้องการลงเครื่องบันทึก ก็แค่โดนจูบ… ก็ไม่แค่นะ ฮึ่ม… ช่างมันก่อนแล้วกัน! ขอทำงานก่อน ไม่อยากทำพลาดแล้วโดนคอมเพลนไปทางบริษัทเพราะเอาแต่คิดเรื่องโดนผู้ชายจูบเป็นเชอร์รี่บอยหรอก วันนั้นทั้งวันก็เอาแต่ท่องบอกตัวเองแบบนั้นจนเลิกงาน

คนที่สามารถปรึกษาตอนนี้มีอยู่ในสมองสามคน คนแรกหนีไม่พ้นไอริสน้องสาวตัวแสบ แต่ก็เป็นคนที่ไม่อยากให้รู้มากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนที่สอง เจ้าน็อกทิส แต่รายนั้นน่าจะตอบอะไรมาแบบไม่ใส่ใจ ส่วนคนสุดท้าย ไม่อยากคิดจะปรึกษาเท่าไหร่ เจ้าหนูพรอมพ์โตที่มั่นใจว่าต้องไปหลุดให้อิกนิสฟังว่าเขาไปปรึกษาแน่นอน มีสามตัวเลือกก็ตัดทิ้งทั้งสามตัว…

เดี๋ยว! จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่ามีอีกคนหนึ่งที่ลืมไปว่าน่าจะคุยได้ เป้าหมายที่มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์โมโตพุ่งทะยานไปในวันนี้จึงไม่ใช่ห้องพักของตนแต่เป็นอู่ซ่อมรถ ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปในอู่ที่แม้จะเริ่มค่ำแล้วก็ยังคงมีเสียงโวยวายของลูกมือและหัวหน้าช่าง เขามองเห็นร่างอรชรสมส่วนของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งก้มอยู่หน้ากระโปรงรถ

“ไง คนสวย คืนนี้ว่างไหม” กลาดิโอเอ่ยทักด้วยประโยคที่มีเพียงเธอเท่านั้นจะได้ยิน ใบหน้าสวยเซ็กซี่ปนขี้เล่นขยับขึ้นมองผู้มาเยือนก่อนจะยิ้ม

“ยะโฮ่ กลาดี้นี่! ลมอะไรหอบมาล่ะเนี่ย” ซินดี้ละมือออกจากเครื่องยนต์มาทักทายหนุ่มตัวโตที่พิงรถลูกค้าอยู่ กลาดิโอยิ้มแหยเล็กๆ แล้วยักไหล่

“ก็นิดหน่อย…”

“เอ๋ ปกติเห็นปรึกษาเจ้าหนูอิกนิสนี่นา ทะเลาะกันเหรอ?” สาววัยสามสิบยังแจ๋วถามเจื้อยแจ้ว เธอเดินนำไปยังห้องทำงานส่วนออฟฟิศหลังจากล้างมือที่เปื้อนคราวน้ำมันเครื่องและเขม่าควันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั่งในห้องทำงานเย็นเฉียบแล้ว ผู้มาขอคำปรึกษาก็เริ่มประสานมือเข้าหากันแล้วบีบแน่น

“คือว่านะ… ไม่รู้ว่าจะเล่าดีไหม แต่ถ้าไม่ได้พูดมันอึดอัด นอนไม่หลับน่ะ” กลาดิโอเริ่มเกริ่นแบบกระมิดกระเมี้ยนคล้ายสาวน้อยขี้อาย ซินดี้นั่งไขว่ห้างกอดอกมองหน่ายๆ เป็นการเร่งให้พูด ไม่งั้นฉันจะไปทำงานต่อ!

“เจ้าอิกนิสน่ะ…มันบอกว่าชอบฉัน…” พูดออกมาจนได้หลังจากเงียบไปสักพัก มือใหญ่ยกขึ้นปิดหน้าของตัวเองพร้อมเสียงถอนหายใจที่พักนี้ชักจะบ่อยขึ้น

“เอ๋… นี่ไม่รู้เหรอ? ฉันก็คิดว่ารู้ตั้งนานแล้วนะเนี่ย” สาวสวยตาโต เธอยกมือปิดปากแล้วมองชายหนุ่มตัวโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนมองของแปลก “เขาออกจะชัดเจนขนาดนั้น”

“ก็คนมันไม่รู้นี่”

“ซื่อบื้อน่ะสิไม่ว่า ขนาดน็อกทิสที่ดูตามเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ทันยังรู้เลย” ซินดี้แขวะเข้าให้อีกรอบ น่าอิจฉาจะตาย อิกนิสน่ะเรียกได้ว่าเพอร์เฟกต์ เรื่องรูปลักษณ์และบุคลิกไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว สุขุม ใจดี ทำอาหารเก่ง รักความสะอาด แค่คิดว่าจะได้กินอาหารฝีมือพ่อหนุ่มนั่นไปทั้งชีวิตก็ฟินแทนแล้ว

“ช่างเถอะน่า ไม่ได้มาให้แดกดันกันนะ มาปรึกษาต่างหาก” กลาดิโอโวยขึ้นมา

“แล้วยังไงล่ะ ปรึกษาเรื่องอะไร เรื่องชอบไม่ชอบนี่ถามใจตัวเองดูก็ได้ไหม ไม่ต้องถ่อมาหาฉันหรอก เสียเวลาทำงานจ้ะ” แม้จะไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่โดนสาวสวยตอบกลับอย่างไร้เยื่อใยอย่างนี้รู้สึกเจ็บช้ำ

“เพราะเรื่องชอบไม่ชอบเนี่ยแหละ ถึงต้องมาปรึกษาไงล่ะ แถมถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อนะ…” กลาดิโอลัสทำหน้าแหยหนักกว่าเดิม เมื่อคิดว่าต้องปะทะคารมกับพ่อบังเกิดเกล้าอีกครั้ง ซินดี้ขยับเปลี่ยนท่าเป็นเท้าคางกับโต๊ะทำงานแล้วถอนหายใจ

“นี่ กลาดี้ ฉันจะบอกให้นะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนายกับอิกนิส ถ้านายไม่ชอบเขานายก็บอกเขาไปตรงๆ อย่าให้ความหวัง แต่ถ้าชอบก็บอกไปว่าชอบ ปกตินอกจากเรื่องคุณเคลรัส นายก็ไม่ใช่พวกเก็บเรื่องพวกนี้มาคิดยิบย่อยอยู่แล้วนี่” เธอโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วใช้นิ้วจิ้มที่แผ่นอกกว้างเบาๆ “คิดมากขนาดนี้…ไม่ใช่ว่าชอบเจ้าหนูอิกนิสเหมือนกันหรอกเหรอ”

!!!” มองดวงตาสีเขียวเข้มตรงหน้าที่ค่อยๆ ห่างออกไปแล้วถึงควานหาเส้นเสียงตัวเองเจอ “ไม่ ไม่แน่ๆ”

“ไม่ชอบตอนนี้ ไม่ได้แปลว่าต่อไปจะไม่ชอบนะ” สิรานีจำเป็นยิ้มหวานให้ “ส่วนคุณเคลรัสน่ะนะ ถ้าหนักแน่นจริงๆ เขาคงยอมเองน่ะแหละ ในทุกเรื่อง…คิดว่านะ”

พูดจบร่างเล็กก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมปรบมือหนึ่งที “หมดเวลาพักแล้ว ฉันไปลุยต่อดีกว่า นายเองก็กลับไปคิดดูละกันนะ” ขยิบตาให้ครั้งหนึ่งแล้วก็เดินนวยนาดออกจากห้องทำงานไปโดยทิ้งตะกอนไว้ในใจของชายหนุ่มผู้ไม่อาจเข้าใจตัวเองได้ในตอนนี้ พอหอบร่างกลับมาห้อง กลาดิโอลัสก็นอนไม่หลับเอาแต่คิดเรื่องของเพื่อนสวมแว่นที่เข้ามาแย่งพื้นที่สมองจากเรื่องอื่น ปวดหัว!!!

 

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่คนถูกจูบที่นอนไม่หลับ ฝั่งคนเริ่มจูบก็ไม่แพ้กัน อิกนิสขยับพลิกตัวไปมาใต้ผ้าห่มนุ่ม ว่ากันว่าไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ หากได้ลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ที่ถูกใจแล้วมักจะอยากกินเรื่อยๆ และมากกว่าเดิมเป็นเรื่องปกติ ตอนที่ได้แค่มองก็คิดอยู่หรอกว่าปากกลาดิโอน่าจะนุ่มแต่ก็ไม่ได้นิ่มแบบปากชุ่มฉ่ำของหญิงสาว เป็นนุ่มแบบน่ากัดให้ช้ำมากกว่า…

“…” แล้วก็คืนสติได้ว่าตัวเองไม่ควรคิดเรื่องสัมผัสในวันนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้นอนกันพอดี ร่างสมส่วนขยับท่าทางนอนเป็นนอนหงายตรงแล้วหรี่ตาลง บอกตามตรงว่าเขาไม่รู้จะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง ไม่รู้ว่ากลาดิโอลัสคิดยังไงหรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำ เอาเป็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้มีปากเสียงกันเลยด้วยซ้ำแต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้นะ สู้ให้กลาดิโอผลักอก ต่อยสักหมัดแล้วออกปากให้อยู่ห่างๆ ยังดีกว่าอีก อยู่ใกล้กันแต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งที่อีกฝ่ายรู้ความรู้สึกกันแบบนี้มันน่าหงุดหงิดจะตายชัก เมื่อก่อนก็เห็นเจ้ายักษ์นั่นแก้ปัญหาด้วยวิธีงี่เง่าแบบนั้นแท้ๆ ขนาดน็อกทิสยังเคยโดนต่อยเลย แล้วไหงดันทำแค่ขอตัวกลับวิ่งออกจากร้านไปเล่า

ในสมองมีแต่คำถามที่วนไปเวียนมาตลอดเวลา อิกนิสระบายลมออกมาก่อนจะข่มตาหลับให้สมกับที่ดื่มชาคาโมมายล์เพื่อให้ร่างกายและสมองผ่อนคลาย ถ้าทำให้หัวใจผ่อนคลายได้ด้วยก็คงจะดีนะ…

 

……………………………………………….

วันนี้มาพร้อมแบบสอบถามความสนใจค่ะ

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSejfyi_2t43YfdpNUOLrYQrye3JETwxn5dl0BXCLU1eA4h1jQ/viewform

ปิดรับคำตอบวันเสาร์นี้ตอนสี่ทุ่มครึ่ง กระชั้นชิดไปหน่อยต้องขออภัยจริงๆTvT

ปกไว้จะแปะที่หน้าเพจอีกทีนะคะ 55555555555555

Fic FFXV Taste the feeling 02 [IgnisGladiolus]

Standard

Title : Taste the feeling
Chapter : 02
Fandom : Final Fantasy XV
Pairing : Ignis Scientia/Gladiolus Amicitia
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* ฟิคเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อเรื่องเกม เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น

 

วันนี้เป็นวันหยุดของกลาดิโอลัส ร่างสูงใหญ่จึงยังนอนเกลือกอยู่บนเตียงเดี่ยวแม้ตะวันจะพ้นขอบฟ้าขึ้นมานานแล้ว ใบหน้าเคราครึ้มซุกลงกับหมอนนิ่มหนีแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มครางต่ำในคออย่างหงุดหงิดพลางควานหาผ้าห่มมาคลุมโปง ในหนึ่งสัปดาห์จะมีวันหยุดหนึ่งวันซึ่งจัดตามตารางเวร หากใครจะหยุดเพิ่มต้องไปตกลงขอแลกวันหยุดกันเองในกลุ่มคนงาน ตาคมสวยปรือมองตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ยังไม่ถึงเวลานัด… คิดแล้วก็ปิดหนังตาลงอีกครั้ง

ด้วยความเหงาเมื่อคืนจึงโทรไปหายายน้องสาวตัวแสบ เสียงใสๆ นั่นมีพลังช่วยเยียวยาอย่างบอกไม่ถูก เลยกลายเป็นว่าคุยกันเพลินจนดึก ไอริสงอแงให้เขากลับไปหาที่บ้านบ้าง อย่างน้อยได้เจอหน้ากันก็ยังดี กลาดิโอรู้ดีว่าจุดประสงค์ของเด็กคนนั้นคืออะไร ยายจอมยุ่งนั่นคงอยากให้ไปเจอพ่อเผื่อจะปรับความเข้าใจกันได้ละมั้ง จะไปอยากเจอเขาได้อย่างไรในเมื่อเธอละเลยคำสั่งของพ่อมาหาเขาบ่อยเสียขนาดนั้น ชายคนนั้นคงจะรู้แล้วแต่ไม่อยากตีกรอบมากไปละมั้งจึงไม่ต่อว่าต่อขานอะไรที่มาวุ่นวายกับลูกไม่รักดีอย่างตน

แต่ไอ้แดดนี่ก็แรงดีจริง! ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว เจ้าของห้องลุกขึ้นคลานไปดึงผ้าม่านสีทึบให้บดบังแสงแดดที่ช่างรบกวนเวลาการนอนเสียเหลือเกิน เมื่อคืนฝนตกก็คิดว่าจะตกยาวมาถึงเช้าเสียอีก น่าเสียดาย วันหยุดทั้งทีอยากให้อากาศน่านอนกว่านี้หน่อยนะ บ่นในใจขณะทิ้งศีรษะลงบนหมอนอีกครั้ง แต่นอนได้ไม่นานก็ถูกก่อกวนด้วยเสียงริงโทนจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างหมอน

“ฮัลโหล” เอ่ยทักปลายสายทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท

“พี่! ตื่นได้แล้วน้า~!”

“อืม…” ตอบรับเสียงเอื่อยก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครา

“วันนี้หนูลองทำขนมแหละ ต้องมาให้ได้เลยนะ!” ไอริสตะแง้วใส่พี่ชายที่เดาว่าน่าจะยังนอนแผ่อยู่บนเตียง

“…รู้แล้ว ไม่เบี้ยวหรอกน่า”

“แน่นะ?”

“อือ” พอเออออไปก็ได้ยินเสียงแหลมสูงนั่นวี้ดว้ายใส่อย่างดีอกดีใจ ก่อนจะวางสายไม่วายกำชับอีกครั้งด้วยเสียงจริงจัง

“…” นอนอืดได้ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า นั่งเกาหัวแกรกๆ แล้วก็เปิดปากหาวไปหนึ่งที สมองที่ยังเซื่องซึมลำดับสิ่งที่ต้องทำทีละอย่าง อาบน้ำ… กินข้าว… อืม ไปกินที่บ้านใหญ่ โดนพ่อเรียกไปบ่นแล้วก็กลับห้องประมาณนี้ละมั้ง

“ไม่น่ารับปาก…” บ่นงึมงำคนเดียวในห้องที่อยู่เพียงลำพังมานานหลายปี

ที่จริงอิกนิสเคยออกปากชวนให้ไปอยู่ที่บ้านด้วยกันเพราะอย่างไรเสียก็อยู่คนเดียว บิดาของอิกนิสเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนหลังฝากฝังร้านให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้ไม่นาน แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่เหลือล้นทำให้ไม่อาจจะไปอยู่บ้านเพื่อนสนิทได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ จึงปฏิเสธน้ำใจนั้นพร้อมเหตุผลว่าหิ้วสาวกลับบ้านด้วยลำบาก แต่จนถึงตอนนี้นอกจากน้องสาวแล้วก็ไม่มีหญิงไหนได้ย่างกรายเข้ามาในห้องสักคน อาจเพราะคิดว่าเพศหญิงเป็นเหมือนดอกไม้ ทั้งสวยงาม หอมหวานแต่ก็อ่อนแอ แม้จะมองคนสวยอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะสามารถดูแลเธอเหล่านั้นได้ด้วยฝ่ามือและนิสัยหยาบกร้าน รวมถึงไม่อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงเพราะความต้องการส่วนตัว รู้ว่าไม่ผิด ไม่มีกฎใดบัญญัติไว้ เป็นเพียงความรู้สึกชั่วดีในจิตใจตนเท่านั้น

ร่างสูงขยับตัวลุกเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าตาให้สดชื่นแจ่มใส จัดการบีบยาสีฟันแล้วทำความสะอาดช่องปากอย่างที่ถูกพร่ำสอนจากโรงเรียนอนุบาล กลาดิโอยืนเท้าเอวมองกระจกที่สะท้อนภาพชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาครึ้มเคราผมเผ้ายุ่งเหยิง โกนหนวดดีไหมนะ? คิดเช่นนั้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเสียงบ่นที่น่าจะได้รับจากบิดา
มือข้างที่ว่างยกขึ้นมาลูบคางไล้ขึ้นสันกรามตัวเองแล้วตัดใจปล่อยให้มันดกดำเงางามเช่นนั้นต่อไป จัดการบ้วนปากเสร็จก็เข้าไปอาบน้ำสระผม ว่าไป…ควรไปตัดผมไหมนะ…? คิดอีกครั้งหลังจากขยี้ผมตัวเองแล้วพบว่ามันยาวกว่าเมื่อก่อนมามากโข ปกติจะใช้หนังยางรัดไว้ครึ่งกระหม่อมและไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับการที่มันยาวจนมัดได้ แต่พอต้องพบหน้าชายผู้มากด้วยระเบียบอย่างพ่อของตนมันก็อดคิดไม่ได้

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่แม้แต่จะคิดนึกว่าร้านตัดผมอยู่ตรงไหนของมุมเมือง สองมือขยี้ผ้าขนหนูซับเส้นผมที่เปียกชุ่มพลางฮัมเพลงดึงความรู้สึกด้านบวกก่อนเผชิญกับบิดาขณะออกจากห้องน้ำแล้วก็เกิดปิ๊งไอเดียหยิบเอาถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาจากในลิ้นชักเก็บของ ไม่ลืมเสียบปลั๊กเครื่องทำน้ำร้อนก่อนจะหายวับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งและออกผ้าพร้อมชุดนอนซึ่งถูกโยนเข้าตะกร้าผ้าอย่างแม่นยำ สวมเสื้อกล้ามพร้อมกางเกงยีนส์สีเข้มตัวเก่งเรียบร้อยก็พอดีกับที่น้ำเดือด
เมื่อเติมน้ำร้อนลงในถ้วยบะหมี่รสโปรดพร้อมตอกไข่โปะชีสเรียบร้อยก็ใช้ส้อมที่แถมมากับถ้วยปักลงไปเพื่อให้ฝาไม่อ้าออกก่อนจะนั่งขยี้ผมรอเวลาอย่างอารมณ์ดี อาหารหลักรวมถึงอาหารว่างจานโปรดของกลาดิโอลัสคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ให้กินสามมื้อก็ยังได้ แต่ไม่ค่อยได้กินนักเพราะอิกนิสรู้ทันจึงทำนู่นแบ่งนี่มาให้บ่อยๆ
เคยพูดไปหลายครั้งหลายคราว่าเกรงใจ แต่ก็ไม่วายโดนยัดเข้ามาในมืออยู่ดี ถ้าถามว่าทำไมถึงยังรับมาน่ะเหรอ…? ก็มันอร่อย ใครๆ ก็ต้องอยากกินอาหารอร่อยทั้งนั้นแหละ เพราะอย่างนั้นอาหารฝีมือเพื่อนรักจึงยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ

ขณะที่กำลังสูดเส้นบะหมี่เข้าปากก็นึกขึ้นได้ว่าควรเตรียมท้องไปเผื่อขนมที่น้องสาวทำ แต่ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็ย่อยหมดเองนั่นแหละ คิดแล้วก็ซดน้ำซุปเข้าไปอีกอึก
กลาดิโอลัสเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ อุดมไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอเพราะกินเยอะจึงพยายามเผาผลาญให้มากทั้งการยกของเวลาทำงานและบริหารร่างกายที่ได้พื้นฐานมาจากที่บิดากวดขันมาแต่เด็ก มาตอนนี้แม้จะทะเลาะกันใหญ่โตก็ยังคงจำคำสอนของเขาคนนั้นได้

ไม่ใช่ว่าเกลียดผู้ให้กำเนิดตัวเอง เพียงแค่ลำบากใจที่จะมองหน้าและพูดคุยอย่างพ่อลูกบ้านอื่น ในฐานะลูกชายคนโตที่ถูกคาดหวังให้ตามรอยเท้าของพ่อซึ่งมีทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีแสนภาคภูมิ แม้ช่วงมัธยมจะทำตัวเกเรไปบ้างแต่สุดท้ายเขาก็เข้ารับราชการให้อย่างที่พ่อคาดหวัง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถดันทุรังทำได้นานนัก สุดท้ายก็กลับมาทำงานต่อจากผู้สูงวัยที่เคยคุมเขาเมื่อยังทำงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กขนของประจำรถซึ่งเกษียณตัวไปโลดแล่นท่องเที่ยวตามที่เคยฝันไว้

บิดข้อมือสตาร์ทมอเตอร์ไซค์สุดรักแล้วทะยานไปตามเส้นทางที่พยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุดตั้งแต่เกิดเรื่อง ลมร้อนยามกลางวันกระทบผิวยิ่งทำให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ ขับผ่านย่านร้านค้าที่ตนเช่าห้องอยู่ตรงเข้าไปยังเขตอยู่อาศัยของชนชั้นสูงซึ่งเป็นต้นตระกูลของตน รั้วกำแพงสูงที่ขับผ่านราวกับจะกดดันตัวตนนี้ให้หดเล็กลง ดวงตาสีเหลืองเจือน้ำตาลสะท้อนภาพของสิ่งปลูกสร้างแสนคุ้นเคย เขาค่อยๆ ชะลอความเร็วลงพลางเปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้นเมื่อถึงด้านหน้าของประตูขนาดใหญ่เงยหน้าขึ้นสบตากับคนหลังหน้าจอควบคุมกล้องวงจรปิด

“อ๊ะ…”
ชายผู้รับหน้าที่คุมการเปิดปิดประตูรั้วและกล้องหน้าประตูวันนี้อึกอักว่าจะกดเปิดประตูให้คุณชายของบ้านอย่างที่คุณหนูไอริสบอกไว้ดีหรือจะปล่อยให้อยู่ข้างนอกอย่างที่คุณท่านของบ้านลั่นวาจาสิทธิ์ไว้
ตอนที่กำลังขยี้ผมจนฟูฟ่อง บานประตูไม้ก็เปิดออก หญิงวัยกลางคนหัวหน้าแม่บ้านก็เข้ามาพร้อมกับถาดชาและของว่าง
ได้ยินเสียงวี้ดว้ายของเด็กสาวเล็ดลอดเข้ามาเบาๆ ก่อนที่ประตูจะปิดลง

“คุณหนูให้แบ่งมาให้แน่ะ คุกกี้ข้าวโอ๊ตฝีมือคุณหนู” เธอว่าพลางวางถาดลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะอุทานเมื่อเห็นร่างของชายคนในหน้าจอ
“ว้าย!”

“คุณหนูกลาดิโอลัสมาถึงแล้วนี่ ต้องไปบอกคุณหนูไอริสก่อน ยังไม่ทันเตรียมอาหารเสร็จเลย โธ่…” หญิงวัยกลางคนบ่นปอดแปดต่อหลังจากกดเปิดประตูรั้วให้คุณหนูสุดรักอีกคนแล้วรีบจรลีออกจากห้องเพื่อไปแจ้งข่าวให้หญิงสาวที่ยังคงง่วนอยู่กับการอบขนม ทันทีที่นำสารไปบอก ไอริสก็ทิ้งทุกสิ่งที่ทำอยู่ในทันที ขาเรียวออกวิ่งบนพื้นหินอ่อนด้วยความเร็วเท่าที่จะไม่ทำให้ตนลื่นล้ม ตากลมโตมองเห็นร่างสูงแสนคิดถึงกำลังจอดบิ๊กไบค์ที่ด้านนอกของตัวอาคารจึงรีบถลันไป

แรงกระแทกและสัมผัสนุ่มนิ่มที่แผ่นหลังดึงสายตาของผู้มาเยือนให้หันกลับไป มองเห็นร่างเล็กพร้อมใบหน้าทะเล้นของน้องสาวที่ยิ้มแป้นแล้นทำเอาความรู้สึกกังวลระคนตื่นเต้นเบาบางลง

“ไง เจ้าตัวแสบ” ทักทายพร้อมรอยยิ้มและขยับมือใหญ่ขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลเบาๆ

“โธ่ พี่คะ อย่าขยี้ผมสิ เดี๋ยวก็ยุ่งหมด” เสียงใสร้องงอแงพลางยกมือกุมศีรษะ สองแก้มค่อยๆ พองลมอย่างน่ารักแล้วสะบัดหน้าหนี

“โอเคๆ” ยอมละมือออกแต่โดยดี แล้วมองรองเท้าแตะใส่ในบ้านและผ้ากันเปื้อนที่เจ้าตัวอาจจะลืมไปแล้วว่าใส่อยู่

ไอริสก้มมองตาสายตาของพี่ชายแล้วยิ่งพองแก้มโตกว่าเดิมก่อนจะชี้นิ้วคาดโทษ “ห้ามล้อหนูนะ!”

“ไม่ทันพูดสักคำ”

“นั่นแหละ สายตาพี่มันฟ้อง” เธอร้องเสียงดังขณะดึงข้อมือกลาดิโอให้เดินตามเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มถอดรองเท้าหนังทิ้งไว้แล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทน คฤหาสน์หลังใหญ่ที่อาศัยอยู่มาแต่เยาว์วัยช่างชวนให้คิดถึง เขาไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่เลยนับตั้งแต่ทะเลาะกับบิดาครั้งใหญ่ รูปภาพครอบครัวที่ประดับบนผนังบางรูปถูกถอดออก โดยเฉพาะรูปที่มีเขาอยู่ในนั้น

คงจะเสื่อมเกียรติเสื่อมศักดิ์ศรีมากสินะ… ชายหนุ่มย้อนนึกถึงสิ่งที่ตนทำ ก็แค่ลาออกจากงานทหาร ไม่ได้หนีทหาร ไม่ได้หนีหน้าที่ ทำทุกอย่างเต็มที่แล้วด้วยความมุ่งมั่น ลอบถอนหายใจไม่ให้น้องสาวรู้ สองพี่น้องเดินตามกันไปในห้องครัวซึ่งเป็นหลุมหลบภัยในวัยเด็กเวลาไปทำเรื่องซนๆ มาแล้วโดนบิดาไล่ตะเพิด ดูเหมือนตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดพ่อของพวกเขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาในนี้เลย

“อาหารยังไม่เสร็จเลย พี่จ๋ากินขนมหนูรอก่อนนะ” ไอริสว่าพลางคีบขนมในถาดใส่จาน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์กระจายกลบอาหารที่ยังตระเตรียมอยู่ ผู้มาเยือนหยิบขนมฝีมือน้องสาวเข้าปากทั้งที่เพิ่งกินมื้อบรันช์ไปหมาดๆ

สาวน้อยทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมสายตาคาดหวังร่างสูงเหลือบมองแล้วเคี้ยวหงุบหงับต่อ คาดหวังคำคอมเมนต์แบบไหนจากคนไม่กินของหวานอย่างเขากันนะ ยายเด็กนี่

“ก็ไม่แย่”
“ไม่ ต้องบอกว่าอร่อยซี่!!!” เธอว่าพลางตีแขนพี่ชายตุบตับ เบเกอรี่พื้นฐานอย่างคุกกี้เป็นสิ่งที่มือใหม่ต้องฝ่าฟันเพื่อก้าวไปสู่เมนูที่ยากกว่านี้
“พี่ลิ้นเสียเพราะกินฝีมืออิกนิสจนเคยตัวน่ะสิ เจอแบบนั้นฝีมือใครก็ไม่อร่อยหรอก”
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย” ปฏิเสธทันควัน อาหารฝีมืออิกนิสอร่อยก็จริงแต่ไม่ใช่ว่าเขาจะกินอาหารร้านอื่นไม่ได้ ลิ้นจระเข้อย่างเขากินอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละ ยกเว้นจะแย่จริงๆ น่ะนะ
“เกี่ยวสิ หนูน่ะนะพี่ยอมแพ้หรอก ต้องทำให้บอกว่าอร่อยให้ได้เลย!” ประกาศกร้าวพร้อมเท้าเอวอย่างมาดมั่น กลาดิโอเท้าคางมองพลางรับคำเสียงเอื่อย เดี๋ยวต้องฝากให้เอาไปให้อิกนิสชิมแน่ๆ
“เดี๋ยวหนูจะฝากไปให้อิกนิสกินด้วย เขาต้องชมฝีมือหนูแน่ๆ แล้วก็ห้ามแอบเอาไปกินคนเดียวเด็ดขาดเลยนะ!”
นั่นปะไร… ตาสีอำพันเข้มมองน้องสาวที่วิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีทั่วครัว เสียงเครื่องครัวกระทบกันดังแว่วมาพร้อมกับกลิ่นยั่วน้ำลายของเมนูโปรดที่แม่ครัวใหญ่ง่วนทำให้เขา ถ้าเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ…คิดภาพออกเลย…
.
.
.
ปึง!!
มือกร้านซึ่งผ่านการฝึกฝนมากมายกระแทกกับโต๊ะไม้มันปลาบอย่างแรงจนหญิงสาวที่ถือถาดเหยือกน้ำมาสะดุ้ง ดวงตาเรียวรีจ้องเขม็งไปยังร่างสูงใหญ่และอาหารบางส่วนที่ไม่สมควรจะมาอยู่บนโต๊ะนี้

“พ่อคะ เราคุยกันแล้วนะคะ” คนกลางอย่างน้องเล็กของบ้านเอ่ยกดดันบิดาที่จู่ๆ ก็ทำท่าจะตะเพิดพี่ชายทั้งที่อุตส่าห์คุยกันแล้วว่าจะปรับความเข้าใจกัน เธอเป็นลูกสาวจึงไม่เข้าใจเกียรติยศที่บิดายึดติดนัก ชีวิตใครก็ชีวิตมันสิ ตระกูลทหารก็ใช่ว่าพี่ชายเธอจะต้องเป็นสักหน่อย
“ฮึ…” ชายวัยเกษียณแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วละสายตาออกจากลูกไม่รักดีที่นิ่งเงียบไม่แสดงท่าทางอะไร
“พี่จ๋า กินเถอะ นะ อุตส่าห์มาทั้งที นะคะ” ไอริสพูดกับคนข้างกายที่เธอเป็นคนเชิญมา เธอไม่อยากให้พวกเขาเป็นอย่างนี้ไปจนตาย ไม่อยากให้ทะเลาะกันเพราะทิฐิบ้าๆ ของผู้ชาย
“มันไม่กินก็ไม่ต้องไปสนใจ ก็ดี จะได้ไม่เปลืองข้าวของบ้านฉัน” เสียงแหบของเคลรัส เจ้าบ้านอามิซิเทียแทรกขึ้นมา ตากลมโตของหญิงสาวตวัดกลับไปหาบิดาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาเบนสายตาหนีลูกสาวที่หน้ามุ่ยสุดกำลัง เขายังจำวันที่เธอเดินเข้ามาขอเรื่องพาพี่ชายมากินข้าวที่บ้าน แน่นอนว่าปฏิเสธในทันที แต่ยายหนูก็ยังมาวอแวใส่ทุกวันจนต้องตัดใจรับคำไปแบบส่งๆ
ไม่คิดว่าไอ้ลูกชายที่โดนตะเพิดจะกลับมาเหยียบบ้านนี้จริงๆ แค่เห็นหน้ามันก็หงุดหงิดแล้ว ยิ่งเห็นสองมือนั่นขยับจับส้อมและมีดหลังคำประชดของตนก็ยิ่งน่าหงุดหงิด ไอ้นิสัยช่างท้าทายนี่มันได้มาจากใครกัน!?

กลาดิโอหั่นสเต๊กเนื้อสะโพกเข้าปากพลางมองหน้าชายวัยกลางคนที่หน้าบูดบึ้งราวจะบอกว่าไม่คิดจะอดอาหารอย่างที่ถูกว่าไว้ หากถามว่าไอ้นิสัยฝ่าฝืนคำสั่งบิดานี่มีตั้งแต่เด็กหรือ คงต้องตอบว่าไม่ใช่ วัยเด็กของลูกชายคนโตแห่งตระกูลอามิซิเทียนั้นเชื่อฟังและอยู่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของลูกน้องคนสำคัญของเคลรัส นอกจากเรียนหนังสือแล้วยังต้องฝึกวิชาการต่อสู้รวมทั้งเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยเป็นที่สุด ยามได้เห็นเด็กคนอื่นได้ออกไปเที่ยวเล่นก็อยากจะทำอย่างเขาบ้าง อยากสำมะเรเทเมาบ้างอย่างเด็กวัยอยากรู้อยากลอง แต่ก็ไม่กล้าทำสักครั้ง เพราะเงาปีกของบิดายิ่งใหญ่เกินไป ปีกใหญ่ที่โอบอุ้มตระกูลนั้นบังคับให้ทุกชีวิตอยู่เพียงใต้เงาของตน แม้จะมีโอกาสได้ไปวิ่งเล่นอย่างเด็กคนอื่นบ้างแต่ก็เป็นแค่ในงานเลี้ยงใหญ่ๆ ที่ผู้ใหญ่จับวงสนทนากัน ทิ้งให้บุตรหลานต้องหาวิธีแก้เบื่อกันเอาเอง

แต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็มาถึง มันเป็นช่วงที่เสียมารดาผู้เกื้อหนุนทางด้านความคิดมาเสมอ จากเด็กนักเรียนเจ้าระเบียบกลายเป็นเด็กเกเรที่เถลไถลมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นไปทั่ว แวะไปให้อิกนิสช่วยทำแผลแล้วก็กลับบ้านมาให้บิดาดุด่าจนเบื่อ

มนุษย์นั้นเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติที่ถูกใจก็ยากที่จะกลับมากินรสชาติที่ไม่ถูกใจ กลาดิโอลัสในวัยคะนองเลือกใช้ชีวิตอย่างเต็มรสเต็มชาติ เงินเบี้ยเลี้ยงที่ถูกบิดาหักก็อาศัยเงินจากงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กขนของให้รถส่งของยามเช้าและช่วงเย็นหลังเลิกเรียนเอา

หญิงสาวผมสั้นเหล่ซ้ายทีขวาทีพลางงับช้อนซุปเข้าปาก เธอวางแผนให้ทั้งสองคนได้คุยปรับความเข้าใจกัน แต่ดูแล้ว…คงจะเสียเที่ยว พี่ชายคนเก่งน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนแก่หัวดื้อที่เธอคอยดูแลทุกวันนี่สิหน้าบึ้งจนน่ากลัวว่าความดันจะพุ่งสูงรึเปล่า แต่ก็ยังดีเกินคาดที่ไม่กวาดอาหารบนโต๊ะทิ้งทั้งหมดแล้วตะเพิดพี่ชายไปละน้า ขณะที่เธอหั่นเนื้อปลาให้พอดีคำอย่างย่ามใจว่าจะไม่เกิดศึกบนโต๊ะกินข้าวนั้น

“หึ…ผมเผ้ารุงรังอย่างกับคนไม่มีเงินเข้าร้านตัดผม อย่าไปเที่ยวโพทะนากับใครเชียวว่าเป็นลูกชายฉัน” คำพูดที่กล่าวขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาไอริสเงยหน้าขึ้นทันที

“ผมก็ไม่เคยไปบอกใครหรอกนะว่าเป็นลูกบ้านนี้ กลัวคนอื่นเขาจะว่าเป็นพวกบ้าอำนาจ” คนถูกแขวะเรื่องผมเผ้าอย่างที่คาดไว้ตอบกลับเสียงเรียบ

“อำนาจและศักดิ์ศรีเป็นสิ่งยืนยันถึงเกียรติยศของตระกูล เมื่อมีอำนาจ เงินทองก็จะตามมา ไม่มีทางจนตรอก”

“ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองล้นฟ้าก็มีความสุขได้ ยอมจนตรอกยังดีกว่าต้องมีชีวิตน่าอึดอัดเหมือนติดคุก” กลาดิโอวางมีดและส้อมพลางดื่มน้ำก่อนจะพูดต่อ “โคตรเหง้าเป็นทหารก็ใช่ว่าผมจะต้องเป็น ไม่สิ ผมเคยเป็นไปแล้ว ผมตามใจพ่อไปแล้ว พ่อควรจะปล่อยวางบ้างนะครับ”

“ฉันไม่ต้องการให้แกเคยเป็น ตอนนี้แกก็ต้องเป็น!”

“พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับ หรือกำหนดชีวิตใคร ผมไม่เป็น ต่อให้แม่มาพูดผมก็ไม่เป็น”

ปึง!

สองฝ่ามือกระแทกลงบนโต๊ะอีกครั้งพร้อมกับร่างของชายวัยหกสิบที่ลุกพราวดขึ้น ไอริสห่อไหล่เข้าหากันก่อนจะวางอุปกรณ์กินอารหารลง เธอยืนแล้วขยับมือช้าๆ ให้ทั้งสองใจเย็นลง

“อย่าทะเลาะกันตอนกินข้าวสิคะ หนูพามาให้คุยกันดีๆ นะ”

“แกก็ดูพี่แกสิ เสียข้าวสุก ใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ ตระกูลเราไม่เคยมีคนแบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ”

“พ่อเกิดทันทุกรุ่นเหรอครับ ถึงได้มั่นใจนักว่าไม่มี”

“กลาดิโอลัส!” เคลรัสตะคอกจนเสียงก้องไปทั่วห้อง ใบหน้าขาวของเขาแกงก่ำเพราะความโกรธ ไอริสขยับไปกอดแขนบิดาไว้แล้วลูบเบาๆ
“พ่อคะ เดี๋ยวความดันขึ้นนะ คุยกันดีๆ เถอะค่ะ หนูก็ไม่อยากให้พี่ไปเป็นทหารนะคะ” เธอว่าเสียงแผ่วพร้อมหดคอเมื่อดวงตาสีฟ้ากระจ่างตวัดมามองดุๆ “ก็แหม… แค่แผลที่ตาพี่เขาหนูก็ร้องไห้ไปเป็นสัปดาห์แล้วนี่นา มันเป็นอาชีพที่มีเกียรติแต่ไม่คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังเลยนะคะ นี่ถ้าพ่อยังไม่เกษียณหนูคงไม่วางใจหรอกค่ะ หนูไม่อยากให้ทั้งพ่อและพี่บาดเจ็บกลับมานะคะ”
ไม่มีใครอยากเห็นคนในครอบครัวบาดเจ็บหรือจากไปเพราะหน้าที่หรอกนะคะ หญิงสาวอ่อนวัยพูดเสียงเบาพร้อมเบ้ปากราวจะร้องไห้ ชายสองคนจึงยอมเงียบไม่ต่อล้อต่อเถียงกันเป็นเด็กแล้วยกน้ำขึ้นดื่มเพื่อให้อารมณ์เย็นลง ตาสีอำพันเบนหนีไปอีกฝั่งของห้องพลางนวดขมับตนเบาๆ ความเงียบน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นในห้องอาหารที่ควรจะเป็นห้องที่มีความสุขกับมื้ออาหารมากที่สุด
“ไปห้องหนังสือละ” ชายสูงวัยพึมพำแล้วเดินหนีบรรยากาศแสนอึดอัดนี้ไป ไอริสนั่งลงพิงผนักเก้าอี้พร้อมผ่อนลมหายใจยาว
“…ขอโทษนะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา เขาเข้าใจเหตุผลของไอริสดี ตั้งแต่เด็กเธอติดเขาแจ แถมน่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถอ้อนบิดาได้อย่างเปิดเผยและได้รับการตอบกลับ เมื่อตอนที่ทะเลาะกันใหญ่โต ไอริสร้องไห้อยู่ตรงกลางความเบาะแว้งของพวกเขา ทั้งที่พ่อและพี่ชายต่างหากที่ควรจะดูแลปกป้องเธอไม่ให้ร้องไห้กลายเป็นว่าทำให้เด็กคนนี้เสียใจมากที่สุด
“คะ?”
“ที่คืนดีกับพ่อไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเข้าใจทั้งสองคนน่ะแหละ”
“ไว้คราวหน้าจะพยายามใจเย็นกว่านี้ละกัน” กลาดิโอพูดเพื่อสนองความตั้งใจของน้องสาวที่นั่งซึมอย่างน่าสงสาร มือใหญ่ขยับลูบผมสีน้ำตาลเข้มเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยนและขอโทษไปในที โดยละคำว่า ถ้ามีคราวหน้า ไว้ในใจ
“แล้วพี่จะกลับเลยเหรอคะ”
“คงจะอย่างนั้นแหละ อยู่เพ่นพ่านในบ้านเดี๋ยวพ่อจะอึดอัดเอาเปล่าๆ”
“หื้มมมมม มาได้แป๊บเดียวจะกลับแล้วเหรอ” หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ ส่งเสียงงอแง
“น่า… ไว้ค่อยนัดเจอกันข้างนอกแล้วกัน ไปดูพ่อเถอะไป เดี๋ยวพี่ไปเอาคุกกี้ของอิกนิสแล้วจะกลับละ” ขยี้ผมด้วยความเอ็นดู รอให้น้องสาวเดินจากไปแล้วค่อยฟุบลงกับโต๊ะไม้ เขาไม่คิดว่าตัวเองกับพ่อจะปรับความเข้าใจกันได้ง่ายๆ พ่อทิฐิสูง ตัวเขาก็อารมณ์ร้อน พอเจอกันก็มีแต่เกิดปากเสียง
กลาดิโอถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งก่อนจะลุกไปเอาคุกกี้จากในครัว แวะหาอิกนิสหน่อยละกัน ชวนดื่มดีไหมนะ? คิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือกดออกหาเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากในทันที

“อิกนิส…”

……………………………………

ดองอย่างยาวนาน

ตอนแรกคิดว่าเรื่องจะยาวกว่านี้ แต่ลดพล็อตลงเหลือ 5-6 ตอน เพราะจะไม่ทันแล้ววววววววTvT

ตอนนี้มีแต่กลาดี้… 555555555555555555

Fic Overwatch Flirt with you 05 #McHanzo

Standard

Title : Flirt with you
Chapter : 05
Fandom : Overwatch
Pairing :  Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม

 

แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you 



แกรก…
ดินสอไม้กระเด็นหลุดออกจากมือลอยหวือไปไกลจากการควงไปควงมา พักนี้ฮันโซคิดงานไม่ออก งานดีไซน์ที่เคยชอบหนักหนายามได้จรดดินสอร่างกลับถูกกากบาทที่มุมรูปจนกองกระดาษกระจายเต็มโต๊ะ ใบหน้าเริ่มบึ้งตึงจนถอดใจจะลุกไปเก็บอุปกรณ์วาดเขียนที่กลิ้งไปสุดกำแพงอีกฝั่ง คนมาดดีเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วนวดหัวตา ลูกค้าที่จ้างออกแบบลายมังกรดูไม่ชอบใจกับลายที่ส่งไปให้เท่าไหร่ การเจอลูกค้ามากมายทำให้รับมือกับอารมณ์ผิดหวัง และเศร้าเมื่อโดนติเตียนได้ดี แต่อารมณ์เครียดเพราะงานไม่ออกมาดีดังหวังแม้จะผ่านมาโชกโชนแค่ไหนก็ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี
ฮันโซหลับตาลง ผ่อนเข้าออกลมหายใจช้าๆ พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านเรื่องเจ้าหนุ่มปากมากที่มาวนเวียนป้วนเปี้ยนชวนไปเที่ยวนู่นนี่แต่ก็คอตกเสียทุกรอบเพราะปฏิเสธไปอย่างชัดเจนโดยใช้งานมาเป็นข้ออ้าง รู้สึกแย่นิดๆ ที่เหมือนวิ่งหนี ยังอยากอยู่กับตัวเองนานอีกนิด ยังไม่สามารถปั้นหน้านิ่งหลังฟังคำพูดเย้าแหย่พวกนั้นได้ ขืนหมอนั่นพูดอะไรแปลกๆ ตอนอยู่ข้างนอกต้องได้ตัวแดงแปร๊ดกลางฝูงชนแน่ บางทีก็น่าสงสัยว่าเขาขี้เขินเกินไปหรือเจสซีหน้าหนาหน้าทนเกินไป

อีกอย่าง…อยู่ใกล้เจ้านั่นแล้วเอาแค่นึกถึงเก็นจิ การเอาภาพน้องชายมาซ้อนทับคนอื่นเป็นเรื่องเสียมารยาท แม้เก็นจิจะไม่เคยพูดเชิงเกี้ยวพากับเขาก็เถอะ พอคิดถึงน้องชายที่ไม่สามารถหาข่าวคราวมาได้ก็กลอกตาไปมาแล้วถอนใจ จ้างนักสืบใช้เงินเยอะเกินไป ถ้าลองถามคนอื่นล่ะ…? ไม่แน่ว่าคนแถวนี้ไม่คนใดคนหนึ่งอาจจะรู้จักหมอนั่นก็ได้ ลองไปหาข้อมูลดีไหมนะ แต่คนพูดไม่เก่ง ซ้ำยังเจาะสักแบบนี้ไปทักมีหวังกลายเป็นพวกน่าสงสัยแน่ ฮึ่ม… ให้ตายสิ น่าหงุดหงิด
กรุ๊งกริ๊ง~
เสียงเล็กแหลมที่ร้องเตือนยามเปิดประตูร้านดังขึ้นดึงความคิดของช่างสักกลับสู่ความเป็นจริง วันนี้ไรน์ฮาร์ตมาพร้อมถุงกระดาษในอ้อมแขน ห่อนั้นถูกวางบนโต๊ะทำงานของฮันโซซึ่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่
“เอามาฝาก เห็นช่วงนี้เจ้าแมคมาที่ร้านบ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ เอาไว้ดื่มด้วยกัน” ชายเฒ่าว่าพร้อมรอยยิ้ม
“…ขอบคุณ… แต่ไม่ต้องก็ได้…เกรงใจครับ” เด็กโข่งวัยสามสิบปลายๆ รับห่อกระดาษที่เดาเอาว่าคงเป็นเครื่องดื่มจากร้านเจ้าตัวน่ะแหละ ได้ยินจากเจ้าคนในบทสนทนาว่าที่ร้านสั่งเหล้ายี่ห้อใหม่เข้ามาแต่ยังไม่ได้ไปลองสักที เพราะเลี่ยงการออกไปเที่ยวกับเจสซี ทั้งที่คิดไปคิดมาอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เขาอาจจะกระอักกระอ่วนไปเองคนเดียว ไว้ถ้ามาชวนอีกอาจจะไป…มั้ง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เพราะเจ้าแมคมันจ่ายเงินแล้วน่ะสิ… ไอ้เด็กนั่นมันแผนเยอะจนน่าคิดว่ามันขุดเอาวิธีจีบสาวจากทั้งชีวิตมาใช้กับฮันโซรึเปล่า แต่ดูแล้วไอ้คนโดนจีบโดนตามใจจะไม่ชินเนี่ยสิ ไรน์ฮาร์ตนั่งลงบนเก้าอี้เช่นเคย ไล่หยิบตัวหมากออกมาเรียงขณะที่เจ้าบ้านเอาสุราไปเก็บและเริ่มชงชา ชายเยอรมันสูงวัยเริ่มคิดหาคำถามที่โดนแมคครีตะแง้วๆ ขอให้ช่วยถาม
“พักนี้กับแมคครีเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นมันมาติดพัน…” ไม่ทันพูดจบมือที่จับถ้วยชาเรียงบนถาดอยู่ก็ปล่อยให้ถ้วยหล่นดังแกรกจนน่ากลัวว่าเซรามิกสีสวยนั่นจะมีรอยบิ่น ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายของคำถามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงค่อยว่า “ก็เป็นเพื่อนที่คุยสนุกดี…”
“…อ้อ… คุยด้วยได้ก็ดีแล้ว เจ้านั่นอาจจะปากมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก”
ฮันโซไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในส่วนนี้เขาเห็นด้วย หมอนั่นไม่ได้เลวร้าย เพียงแค่หลังจากหลุดปากมาคราวนั้นมาร่วมเดือนอะไรๆ ก็มากขึ้น หวานเลี่ยนเกินไป แอบเนียนแนบชิดจนน่าสงสัย แถมมือไม้จับนู่นแตะนี่ราวกับคนไร้ยางอาย แล้วหัวใจมันก็เต้นแรงมากขึ้นตามไปจนได้ ไรน์ฮาร์ตมองใบหน้าของคนที่ยกถาดชามาเงียบๆ วัดระดับความน่าจะเป็นในสมองและประมวลว่าควรเอ่ยถามคำถามที่ดูละลาบละล้วงมากเกินไปนี่ดีหรือไม่ ให้ตาย แก่จนปูนนี้ทำไมยังต้องมาทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อนำอีก… โตกันป่านนี้แล้ว จัดการกันเองเถอะ พ่อเฒ่าขี้หน่ายคิดตัดบทเอาเรื่องรักใคร่ชายหนุ่มออกจากสมองแล้วกลับมาสนใจเกมกระดานแทน
“ไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะเจ้าหนู” ชายชราถามขึ้นหลังจากริบม้าตัวสำคัญมาจากฝั่งฮันโซ วันนี้คนเยาว์วัยกว่าเล่นหมากกระดานสะเปะสะปะราวคนไม่มีสมาธิ หลังจากเล่นได้เพียงสิบนาทีตัวหมากสีดำที่ถูกกินพองพะเนินอยู่ฝั่งไรน์ฮาร์ตไปเสียเกือบครึ่ง
“หลายเรื่องน่ะ”
“งานเรอะ?”
“ส่วนหนึ่ง…” ตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะยกชาขึ้นจิบ เป็นวิธีเฉไฉหนึ่งที่ไรน์ฮาร์ตรับรู้ว่าอีกฝ่ายอยากให้เปลี่ยนเรื่องคุย
“นี่เจ้าหนู ฟังให้ดีนะ เรื่องอะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเถอะ เก็บมาคิดมากทุกเรื่องแบบนี้มันไม่ช่วยให้แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้หรอก ลองหาคนรับฟังบ้าง ไหล่เบาขึ้นจะได้มองเห็นโลกกว้างขึ้น”
เสียงแหบต่ำฟังดูจริงจังจนฮันโซจำต้องพยักหน้ารับคำ แม้จะค้านในใจก็ตาม เขารู้ว่าทุกอย่างไม่สามารถหาทางแก้ได้ไปพร้อมกัน สมองก็สมองเดียว มือก็แค่สองข้าง จะทำอะไรได้มากมาย แต่ถ้าจะให้เลือกงาน น้องชาย และเพื่อนใหม่ แน่นอนว่าต้องเลือกเก็นจิก่อน แต่ตอนนี้ไม่สามารถหาเบาะแสได้ การจะจ้างนักสืบต้องใช้เงิน เงินได้จากการทำงาน และงานออกแบบของเขาตอนนี้มันไม่เดินก็เพราะแมคครี เจสซี ทุกอย่างมันเป็นลูกโซ่เรียงร้อยกันไปและไม่สามารถทำให้ขาดจากกันได้ นอกเสียจาก…หาคีมมาตัดมันออก อาจจะเหนื่อยแต่คงได้ผลเด็ดขาด คิดเช่นนั้นแม้จะรู้ตัวว่าตนต่างหากที่อ่อนด้อยจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง
“บางเรื่องก็ให้ใจมันตัดสินแทนสมองก็ได้นะ…” แขกสูงวัยเสริมอีกครั้งหลังกวาดตัวหมากด้วยฝ่ามือ
“สมองมีเหตุผลกว่าหัวใจ”
“แต่หัวใจไม่มีทิฐิเท่าสมอง”
ชายสองวัยนั่งจ้องหน้ากันราวไรน์ฮาร์ตเป็นคู่กรณีเสียเอง แต่สุดท้ายแล้วฮันโซก็เป็นฝ่ายถอยก่อน ตาสีน้ำตาลเบนหนีไปพลางเก็บกระดานหมาก
“พูดเพราะหวังดีนะ”
“อืม ผมรู้”
“แต่ก็ความคิดนาย ฉันไม่ก้าวก่ายไปมากกว่านี้หรอก”
“ขอบคุณครับ”
เป็นเวลาน้ำชาที่เพิ่มความเครียดให้เจ้าบ้านยิ่งกว่าเดิมทั้งที่ปกติจะผ่อนคลายกว่านี้มาก เจ้าของมองไล่หลังของแขกผู้มาเยือนทุกวันที่เดินไกลออกไปด้วยสายตาเหม่อลอย ตั้งแต่รู้จักกันมาแม้จะมีความเห็นต่างกันแต่ก็ไม่เคยให้ความรู้สึกว่าทะเลาะกัน คนต่างเชื้อชาติและหัวแข็งทั้งคู่พยายามกระชับมิตรอย่างสุดความสามารถ ตอนแรกยังขลุกขลักเพราะผู้สูงวัยช่างโผงผางในขณะที่เด็กวัยสามสิบสามนิ่งเงียบจนน่ากังวล แต่เมื่อผ่านพ้นความอึดอัดมาได้ก็สบายใจในการพูดคุยมากขึ้น ยอมรับคำติชมเรื่องผลงานศิลปะที่ลูกค้ายินยอมให้นำมาแขวนประดับร้าน น่าจะเป็นครั้งแรกที่โต้เถียงกันด้วยความรู้สึกเช่นนี้ ชวนให้รู้สึกผิดเหมือนหลังทะเลาะกับบิดาอย่างไรชอบกล ดูท่าจะเครียดไปจริงๆ สินะ ฮันโซคิดขณะเก็บถาดชาเข้าไปเก็บในครัว ก่อนอื่นต้องคิดก่อนว่าจะจัดการกับเจสซียังไง สถานะตอนนี้คือแบบไหนตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก จะทำยังไง…?
ร่างสมส่วนเดินกลับมานั่งเอนหลังที่เก้าอี้ทำงาน ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าเพราะห่างหายไปจากการใช้สมองขบคิดหลายเรื่องเช่นนี้มานานหลังจากทิ้งบ้านเกิดมาหรือเพราะเรื่องตอนนี้มันหนักหนาสำหรับตนก็ไม่รู้ หัวมันถึงได้ปวดตุบจนหงุดหงิด ฮันโซเปลี่ยนท่าเป็นฟุบหน้าลงกับโต๊ะแทน ความเย็นจากผิวโต๊ะไม้ช่วยให้อารมณ์เป็นบวกขึ้นบ้าง หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายลงช้าๆ จากที่แค่หวังพักสายตาเริ่มเคลิ้มจนจะหลับ ความเงียบภายในตัวอาคารและอากาศเย็นสบายชวนให้ปิดร้านขึ้นไปนอนเอนตัวบนโซฟาในห้องนอนแทนการนั่งฟุบหลังขดหลังแข็งเช่นนี้


กรุ๊งกริ๊ง~
กระดิ่งติดประตูส่งเสียงแจ้งเตือนให้เจ้าของร้านลืมตาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ร่างสูงผิวแทนที่มาในชุดเสื้อเชิ้ตลายสกอตและกางเกงยีนส์เดินผิวปากเข้ามา สองมือหอบถุงกระดาษที่โอบไว้มาด้วย ฮันโซครวญในใจว่าทำไมเจ้าตัวการของอาการปวดหัวถึงต้องมาอะไรเอาตอนนี้ ยังหาสาเหตุความสับสนเจือหงุดหงิดของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ยังไม่มีทางออกเรื่องความสัมพันธ์จนไม่อยากเจอหน้าที่มักจะยิ้มทะเล้นยียวน
“ไงจ๊ะ มายเอเชียนฮันนี่ วันนี้หน้าบึ้งเชียว เหงาละซี่ เค้าซื้อของสดมาเพียบเลยนะ” แมคครีทักทายแล้ววางถุงของลงบนโต๊ะชงชา ของสด…? ฮันโซมองหน้าแขกประจำคนที่สองของร้านพร้อมแสดงสีหน้างงงันอย่างปิดไม่มิด
“ดินเนอร์กัน เดี๋ยวทำสเต๊กให้ลองชิม” เสียงทุ้มส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามนิสัย สองมือหยิบห่อเนื้อที่เลือกมาอย่างดีขึ้นมาอวด
“ไม่กิน”
“เอ๋? ฉันทำอร่อยน่า เมนูนี้มั่นใจ” ชายปากมากราวกับมีปากรอบตัวยังคงพูดพร่ำโดยไม่ดูสีหน้าเจ้าบ้าน มันน่าหาอะไรมาเย็บปากเสียจริง ชายญี่ปุ่นหน้าบึ้งตึงลุกเดินไปหาแมคครี
“บอกว่าไม่กิน เลิกมาวุ่นวายสักทีได้ไหม รู้ตัวบ้างเถอะว่ามันน่ารำคาญน่ะ” ว่าพลางหยิบถุงข้าวของยัดใส่แขนอีกฝ่ายแล้วดึงลากให้เดินตามไปที่ประตู เขารู้ว่าไม่ผิดที่แมคครีจะอารมณ์ดี แต่ก็ไม่ใช่ความผิดตนที่ปวดหัวแล้วจะอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน
“ทำไมวันนี้ดุจัง?” แขกตัวโตเดินตามไปแม้ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์จนกระทั่งโดนดันหลังออกจากประตูร้าน “ไม่อยากกินฝีมือเค้า…” แผ่นป้ายพลาสติกถูกกลับด้านแสดงข้อความ ‘ปิด’ เสียงดังแกร๊กจากการล็อกประตูดังขึ้นพร้อมกับมูลี่ที่ถูกดึงปิดอย่างไร้เยื่อใย โค้ชยิงปืนยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะคอตกเดินหอบของกลับห้องพักตัวเอง
รู้สึกแย่… ฮันโซรู้สึกขึ้นมาหลังเดินปึงปังขึ้นห้องนอนมาอยู่เงียบๆ คนเดียว ทำอะไรไม่สมกับเป็นตัวเองเอาเสียเลย ปิดร้านก่อนเวลา ทิ้งงานที่ยังทำไม่เสร็จกองไว้ในลิ้นชัก ไม่คิดหาข้าวเย็นกิน ซ้ำยังนอนแบ๊บอยู่บนโซฟาราวนีตใกล้ตาย ไล่เจสซีกลับไปได้แต่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ คนเหม่อลอยนั่งคิดวนไปเรื่อยจนไม่รู้กระทั่งว่าภายในห้องเริ่มมืดแล้ว แสงอาทิตย์สีส้มที่มีเมื่อตอนไล่ชายคนนั้นไปหายไปเหลือแค่แสงจางๆ ของไฟข้างทางที่เล็ดลอดเข้ามา
ติ๊ด!
เสียงร้องบอกเวลาผันผ่านของนาฬิกาข้อมือดึงดูดสายตาชายหนุ่มให้กลับมาสนใจโลกความเป็นจริง หกโมงเย็นแล้ว ปกตินี่ยังไม่ถึงเวลาปิดร้านด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อปิดไปแล้วจะลงไปเปิดอีกก็ใช่ที่ ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นไปเปิดไฟ ควรหาอะไรทำไม่ให้คิดมากจนจมอยู่กับเรื่องพวกนี้ แต่จะทำอะไรล่ะ?
‘ลองหาคนรับฟังบ้าง’
คำแนะนำเมื่อบ่ายแก่ๆ แว่วเข้าหู แต่ฮันโซก็หน้านิ่วกับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าคนรู้จักมักจี่ของตนนั้นนอกจากไรน์ฮาร์ตก็มีแค่เจสซีที่ตัวเองเพิ่งไล่กลับไป เริ่มมองเห็นความลำบากยามไม่คบหาใครขึ้นมาตงิดๆ เหมือนคนไม่มีที่เพิ่งเลยแฮะแบบนี้ ถ้าเก็นจิอยู่ด้วยต้องโดนหัวเราะเยาะแล้วสมน้ำหน้าแน่ที่ไม่ยอมผูกมิตรกับใครไว้ เอาอย่างไรดี วันนี้ดันทำเรื่องมองหน้าไม่ติดกับทั้งสองคนเสียด้วย ควรไปขอโทษรึเปล่านะ? คำตอบแบบไม่ต้องทบทวนคือควร เพราะรู้ดีว่าใครเป็นฝ่ายผิด แบบนี้ไม่ใช่ใช้สมองแก้ปัญหาแล้ว ใช้ความรู้สึกล้วนๆ แถมเป็นอารมณ์แย่ๆ ซะด้วย
“เฮ้อ…” ถอนหายใจพร้อมส่งเสียงต่ำยาวๆ
ไปหาไรน์ฮาร์ตก่อนละกัน เวลานี้คงเปิดร้านแล้วแหละ คิดแล้วก็เดินไปล้างหน้าปรับอารมณ์ให้คงที่ขึ้น หยิบเสื้อนอกมาสวมและกระเป๋าสตางค์แล้วปิดบ้านไปพร้อมกับเตรียมใจพูดขอโทษ เสียงอึกทึกภายในร้านที่ไม่ได้ย่างกรายมาร่วมเดือนยังไม่เปลี่ยนแปลง ตาตี่สอดส่ายไปทั่วชั้น ไม่เจอบริกรสาวชาวเกาหลีคนนั้นที่น่าจะพอถามได้ว่าเจ้าของร้านอยู่ที่ไหน แต่ถ้าให้เดาก็คงจะอยู่ชั้นบนเหมือนครั้งนั้น
สองขาก้าวขึ้นไปพร้อมใจที่หนักอึ้ง เหมือนเด็กวัยรุ่นที่มาปากเสียงกับพ่อแล้วหนีไปหมกตัวในห้องนอนก่อนจะมาขอโทษเมื่อสำนึกได้ มองเห็นร่างสูงใหญ่ของเฒ่าเยอรมันอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์เท่าไรนัก ฮันโซเดินตรงดิ่งไปหาเป้าหมายในทันที ทิ้งมือลงจับไหล่ของอีกฝ่ายที่กำลังคุยกับลูกจ้างอยู่ ไรน์ฮาร์ตหันมาหาก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวนะ ไปหาอะไรดื่มรอก่อนสิ” แล้วหันไปสั่งงานกับชายผิวเข้มทรงผมเดรดล็อก ฮันโซเดินตรงไปนั่งที่เคาน์เตอร์อย่างว่าง่าย ตอนที่ก้มหน้าก้มตาคิดว่าจะสั่งอะไรมาดื่มดีก็มีเสียงทักจากด้านหลัง
“อ๊ะ! คุณฮันโซนี่นา” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงแล้วก็พบเด็กสาวคนที่ตนมองหาเมื่อตอนอยู่ชั้นหนึ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มน่ารักสมวัย “มาดื่มเหรอคะ?”
“อ่า… อืม” ตอบรับไม่เต็มปาก เพราะที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะมาดื่มเลยต่างหาก ไม่ใช่คนจำพวกเครียดแล้วพึ่งพาอบายมุขเสียด้วยสิ ซง ฮานากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกเจ้านายเรียกให้ไปรับออเดอร์เสียก่อน เธอยกมือขึ้นโบกเบาๆ ที่ระดับอกเป็นเชิงว่า ‘ไปก่อนนะคะ’ แล้วรีบเดินไป ครู่หนึ่งคนที่ฮันโซต้องการคุยด้วยก็เดินมา ในมือของเขาถือแก้ววิสกี้ซ้อนกันสองใบและขวดแก้วบรรจุน้ำอำพันสวย
“เอ้า!” ไรน์ฮาร์ตวางแอลกอฮอล์ลงบนบาร์ด้านหน้าคนเด็กกว่า ฮันโซจึงรินสิ่งมอมเมาลงไปในแก้วแล้วเลื่อนส่งให้ชายผู้เป็นเจ้าของบาร์แห่งนี้ ความเย็นจากแก้วที่ส่งผ่านปลายนิ้วชวนให้คิดว่าแก้วนี่เพิ่งออกมาจากตู้แช่รึเปล่า เพราะน้ำแข็งก้อนที่อยู่ในแก้วมีเพียงก้อนเดียวเท่านั้น คู่สนทนายกแก้วขึ้นดื่มจนหมดในคราเดียวแล้ววางแก้วลงดังตึงจนฮันโซที่กำลังจะยกแก้วขึ้นจิบสะดุ้ง ไรน์ฮาร์ตยกมือขึ้นเป็นการเร่งให้ฮันโซดื่ม ฮันโซพยักหน้ายกจิบช้าๆ สัมผัสแรกคือรสมันของเนยและวอลนัต ตามมาด้วยหวานเจือเปรี้ยว และหอมคลุ้งกลิ่นมะนาวผสมบัตเตอร์สกอตช์ รสชาติที่คนชอบรสละมุนน่าจะถูกใจ หลังจากละเลียดรสชาติจนแทบจะดื่มด่ำหนุ่มญี่ปุ่นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม
“เอ่อ… ไรน์ฮาร์ต ผมมีเรื่องจะพูดด้วย” เจ้าตัวขยับตัวนั่งตรงแหน่วพร้อมแววตาจริงจัง ศีรษะของอดีตผู้นำชิมาดะก้มลงจนแทบโขกบาร์ หากยืนโค้งได้คงทำไปแล้ว “ขอโทษนะครับ”
“เรื่องอะไร?” คิ้วขาวของฝ่ายได้รับคำขอโทษขยับเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ก็เมื่อบ่ายที่เรา…ทะเลาะกัน”
“อ้อ” ไรน์ฮาร์ตใช้กำปั้นทุบมืออีกข้างคล้ายเพิ่งนึกออก “ไม่เอาน่า จริงจังเกินไปแล้วเจ้าหนู ฉันแค่แนะนำเอง นายจะเห็นด้วยรึเปล่ามันก็ควายคิดนาย แต่ บ๊ะ! ไอ้เราก็ดีใจที่มาหา นึกว่าจะมีอารมณ์มาดื่มด้วยกันเสียอีก” ชายชราบ่นพร้อมยกขวดบรรจุซิงเกิลมอลต์ขึ้นรินให้อีก ฮันโซเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกโล่งใจกับคำตอบนั้น
“นี่น่ะ เกลนกอยน์ หมักสิบห้าปี… รู้ไหมว่าทำไมฉันเลือกเจ้านี่มาให้” ชายสูงวัยเอ่ยถามหลังจากซดแก้วที่สองหมด คนถูกถามส่ายศีรษะไปมา
“เพราะรสชาติมันแปลกใหม่หลากหลายไงล่ะ ดื่มแล้วกระตุ้นสมองดี เหมาะสำหรับแก้เครียดแบบอ่อนๆ” แน่นอนว่าประโยคหลังนั่นเป็นความเห็นของเจ้าตัวล้วนๆ ไม่มีผลวิจัยหรืออะไรทั้งนั้น แต่ฮันโซก็คิดว่าการเพิ่มน้ำตาลให้สมองยามนี้มันดีขึ้นจริงๆ
“มันก็อร่อยดี ทั้งที่ควรจะขมแต่ดันหวานซะได้…”
“อะไรๆ มันก็ดูแค่ภายนอกไม่ได้หรอก แต่ฉันว่าไอ้หวานอมขม เปรี้ยวอมหวาน หรือหวานแสบคอน่ะมันอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนมากกว่า”
“ผมไม่ชินกับรสหวาน มันอันตรายต่อสุขภาพ” ฮันโซพูดเสียงต่ำ ขยับตัวเปลี่ยนท่าเล็กน้อยพลางหมุนแก้วในมือเล่น ตาสีเข้มมองน้ำแข็งก้อนที่ค่อยๆ ละลายในน้ำสุรา
“รสอะไรมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น รสจืดเองนานๆ ไปก็ไม่ดีกับหัวใจ หลายรสแต่มีความสุขยังจะดีกว่า” คนผ่านน้ำร้อนมามากเปรยสู้กับเสียงอึกทึกรอบข้าง คู่สนทนาอ่อนวัยเงียบไปแต่ยังคงยกแก้วขึ้นจิบ
“น้ำแข็งละลายแล้ว…ก็ไม่หวานมาก”
“…แล้วชอบไหม?”
“…มั้งครับ”
ชอบอะไรกันเหรอคะ เกลนกอยน์เหรอ? ซง ฮานายืนมองชายสองคนที่นั่งคุยกันด้วยความงงงวย หลังจากรับออเดอร์และไปเสิร์ฟเรียบร้อยกลับมาหลังบาร์ก็ตามบทสนทนาไม่ทันเสียแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน รสชาติของวิสกี้เหรอ? แต่ทำไมดูบรรยากาศแปลกๆ กันล่ะ? เด็กสาวมุ่ยหน้าอย่างน่าเอ็นดู เธอส่งข้อความไปหาแมคครีว่าฮันโซมาที่ร้านแต่เจ้าคุณอาขี้หลีคนนั้นกลับไม่ตอบกลับข้อความอะไรเลย แปลกจัง… ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าถ้าวันไหนคุณฮันโซมาให้กระซิบบอกด้วยนี่นา
“ฮานา ขอน้ำแข็งเพิ่มหน่อย”
“อ๊ะ! ค่า” ขายรับเสียงใสก่อนจะนำน้ำแข็งไปเติมให้บอสใหญ่และแขกคนสนิท ฮานาเคยเดินผ่านหน้าร้าน Scatter อยู่หลายครั้ง มองจากข้างนอกดูเป็นร้านสักที่เก๋สะดุดตาดี เธอไม่ค่อยรู้เรื่องศิลปะรอยสักหรือแฟชั่นบนผิวหนังเท่าไหร่ แต่งานของฮันโซที่ลงตัวอย่างในเว็บสวยมาก ขนาดคนไม่สนใจอย่างตัวเธอเองยังแอบมีความคิดเล็กๆ ว่าหรือจะลองสักกับคุณฮันโซดีนะ
จะว่าไปเธอเคยได้ยินมาว่าบอสใหญ่ชอบแวะไปหาคุณฮันโซอยู่บ่อยๆ นี่คงจะจริงสินะเนี่ย พักนี้เหมือนแมคก็ไปสิงที่ร้านคุณฮันโซเหมือนกัน เป็นเพื่อนสนิทกันสิน้า เด็กมหาวิทยาลัยครุ่นคิดขณะที่มือก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างขมักเขม้น ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วๆ จากคนทั้งคู่ที่แอบดักฟังสอดแนมให้แมคครีผู้หายตัวไม่ตอบกระทั่งข้อความ
“ไปก่อนนะครับ ไว้เดี๋ยวจะมาใหม่”
“จำทางได้แน่นะ?” ชายชราถามย้ำอีกครั้ง ฮันโซพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินห่างออกไป สปายผู้แข็งขันกดมือถือขึ้นกดส่งข้อความไปหาแมคครีอีกครั้งด้วยความคิดที่ว่ารับปากแล้วก็ต้องสานต่อให้จบ

‘คุณฮันโซกลับไปแล้ว! (●`ε´●)
.
.
.
ชั้นสาม ห้องที่ห้า ฝั่งขวามือ ฮันโซท่องวนในสมองขณะเดินขึ้นบันได อาคารที่พักที่ไรน์ฮาร์ตบอกพิกัดให้นั้นคือที่อยู่ของเจสซี แมคครี คู่กรณีคนที่สองของวัน ตึกสูงราวสิบชั้นนี้เขาเคยเห็นผ่านตาตอนออกสำรวจสถานที่เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ก้มหน้าก้มตานับจำนวนขั้นบันไดก็ถึงชั้นสาม ทั้งที่อุตส่าห์เดินขึ้นแทนใช้ลิฟต์เพื่อให้ถึงช้ากว่าเดิมแท้ๆ
1… 2… 3… 4… 5…
ห้องนี้สินะ ตาสีน้ำตาลมองบานประตูข้างหน้าด้วยความรู้สึกกดดัน ละล้าละลังจะเคาะประตูอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ยังไม่ทันข้ามพ้นวันก็เลยไม่อาจข่มกลั้นความกลัวว่าจะโดนด่ากลับไม่ได้ ชายวัยสามสิบสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพ่นออกซ้ำไปมาหลายครั้งเพื่อเรียกความมั่นใจ แค่ขอโทษเท่านั้น พูดออกไปแล้วก็กลับบ้าน เขายกมือขึ้นค้างกลางอากาศ นิ้วมือยุกยิกๆ ผิดนิสัยก่อนจะเคาะลงไป ยืนรอไม่นานนักก็ได้ยินเสียงลั่นดาลจากข้างในก่อนที่บานประตูจะเปิดออก แมคครีเดินออกมายืนพิงกรอบประตู ใบหน้าหล่อเหลามองมาด้วยสายตาเมินเฉยจนน่าหวั่นใจ ริมฝีปากที่มักเอ่ยคำสรรพนามหยอกล้อเปล่งเสียงราบเรียบ


“ดึกขนาดนี้แล้ว มีธุระอะไรเหรอ?”

 

……………………………..

สวัสดีค่า ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่จะลงให้อ่านทั้งใน WP และ Dek-d ค่ะ

ตอนแรกกะว่าจะลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่โดนให้ไปงานอีเวนต์กะทันหันก็เลยไม่ได้ลงค่ะ

เพราะเวลากระชั้นกับเดดไลน์โรงพิมพ์และเราวุ่นๆ เล่มนี้ก็เลยไม่มีการเปิดจองนะคะ

แต่คิดว่าจะพิมพ์ไปเผื่อค่ะ น่าจะเหลือถึงรอบไปรนะคะ

Fic Overwatch Flirt with you 04 #McHanzo

Standard

Title : Flirt with you
Chapter : 04
Fandom : Overwatch
Pairing :  Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม

 

แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you 



“ฉิบ เจสซีเดินดีๆ ได้ไหม” แมคครีผู้เกือบไร้สติได้ยินเสียงบ่นเจือหอบอยู่ข้างหู ตาสวยคมหรี่ขึ้นแอบมองสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ชายตัวเล็กกว่าจับแขนของเขาข้างที่พาดบ่าอยู่แน่น มืออีกข้างกระชับเอวหนาเพื่อประคอง แม้จะพยายามขนาดนั้นแต่จังหวะการเดินของเจสซี แมคครีกลับไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมได้ ทั้งสองเดินโย้เย้ไปมาน่าขบขัน ขณะที่ฮันโซกำลังพยายามอย่างยิ่งในการพาทั้งตัวเองและเพื่อนใหม่กลับถึงบ้านอย่างสวัสดิภาพ เจ้าคนแกล้งเมากลับขัดขวางความตั้งใจนั้นโดยการเดินลากเท้าไปทางนั้นทีทางนี้ที
ใช่… นี่คือลูกไม้ที่โค้ชหนุ่มเลือกใช้ ระดับนี้แล้วไม่คออ่อนขนาดนั้นหรอก อุตส่าห์จะไม่เล่นอะไรแผลงๆ แต่จนแล้วจนรอดก็อดใจไม่ไหวอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แมวแก่ไฮโซตัวนี้ดื่มเก่งเอาการ แบบนี้ก็ชวนไปดื่มบ่อยๆ เป็นข้ออ้างได้สินะ แต่แหม… คิดถูกจริงๆ เลยนะที่ใช้วิธีนี้ มือข้างที่พาดไหล่อีกฝ่ายได้สัมผัสกับช่วงอกแน่นๆ นั่นตั้งหลายครั้ง แถมเสียงหอบนี่ก็ดีงาม แม้จะส่งเสียงบ่นและคำรามอย่างอดกลั้นความหงุดหงิดแต่คนข้างกายก็ไม่มีทีท่าว่าจะโยนเขาทิ้งไว้ข้างทางแต่อย่างใด จนในที่สุดก็มาถึงเคหสถานอันเป็นที่อยู่อาศัยของฮันโซ เจ้าตัวละมือข้างที่โอบเอวไว้ออกมาล้วงหากุญแจบ้าน
“หือ~ หาอาราย ฉันช่วยละกาน” แสร้งปรือตามองแล้วพูดเสียงเอื่อย มือซ้ายย้ายจากพาดไหล่เจ้าของบ้านมาตบสะโพกดังป้าบ “ตรงนี้ม่ายมี!”
“เจสซี อยู่นิ่งๆ” ช่างสักมือฉมังว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดขณะดึงกุญแจออกจากกระเป๋าเสื้อฮู้ด แมคครีพยักหน้าพร้อมทำมือตะเบ๊ะก่อนจะยิ้มโง่ๆ ออกมาเรียกเสียงถอนหายใจเฮือกโต “ให้ตายเถอะ…”
แกร๊ก
เมื่อเปิดประตูแล้วฮันโซก็กระดิกนิ้วเรียกคนเมาให้มาอยู่ท่าเดิม ร่างสูงกว่าเดินเซเข้าซบอีกคนอย่างออดอ้อน
“ไม่ใช่แบบนี้” เจ้าของร้านบอก สองมือดันร่างนั้นออกแล้วจับแขนพาดบ่าดังเดิม เมื่อยักเย้ยักยั่นเข้ามาข้างในปุ๊บก็ใช้เท้าเขี่ยปิดประตู เดี๋ยวค่อยล็อก เอาไอ้นี่ไปนอนก่อน ฮันโซผู้ซึ่งครุ่นคิดมาตลอดทางว่าทำไมตัวเองต้องรับผิดชอบชีวิตใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันขนาดนี้ บางทีไอ้นิสัยลูกคนแรกชนิดฝังกระดูกก็เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดพอตัว แต่จะทิ้งไว้ก็ไม่ได้อยู่ดี หรือเพราะเห็นน้องชายซ้อนทับกับเจสซีคนนี้กันนะ คนมีความรับผิดชอบสูงเกินไปมองบันไดที่ปกติก็ไม่ได้ดูแคบขนาดนี้แล้วจัดแจงเปลี่ยนท่าใหม่ จับแขนสองข้างของคนสูงกว่าพาดบ่าแล้วลากร่างแมคครีขึ้นบันไดทีละขั้น
“คุ…ฟุ…หุหุหุ” จู่ๆ ไอ้คนที่ทำตัวเป็นคนเมาที่ดีมาตลอดก็หัวเราะเสียงแผ่ว คงเพราะท่าทางตอนนี้มันตลกละมั้ง…
“ถ้าไม่อยากคอหักก็อย่าดิ้นเจสซี” คนแบกของหนักกัดฟันพูดพลางออกแรงก้าวช้าๆ อีกไม่กี่ขั้นเท่านั้น!! ในตอนนั้นเองเจ้าตัวก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา ลมหายใจอุ่นๆ และความเปียกชื้นที่สัมผัสต้นคอทำเอาเสียวสันหลังวาบ ขาที่รับน้ำหนักมากกว่าปกติสั่นมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่า ชายหนุ่มยิ่งเกร็งตัวเมื่อฝ่ามือใหญ่สัมผัสเข้าที่หน้าอกซึ่งมีแต่มัดกล้าม แมคครีทำอะไร?!
“ฮันนี่จ๋า~” ได้ยินเสียงงึมงำแผ่วๆ จากข้างหลัง ลิ้นเปียกชื้นนั้นยังคงไล้แผ่วเบาที่ต้นคอก่อนที่ฮันโซจะรู้ตัวก็ถูกงับเข้าให้ นิ้วมือกร้านนวดเฟ้นแผ่นอกเสียจนคิกว่ามันจะต้องแดงเถือกแน่ๆ
“เจสซีหยุดเดี๋ยวนี้!” ร้องเสียงดังลั่นเมื่อตั้งสติได้ เขากำลังถูกคนเมาล่วงละเมิดทางเพศ ทำยังไงดี?! ขาจะหมดแรงแล้วด้วย ถ้าปล่อยลงตรงนี้ได้กลิ้งคะโล่ลงบันไดกันแน่ แม้จะส่งเสียงดังแต่เจ้าของชื่อไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือ ชายหนุ่มกลั้นใจก้าวขึ้นบันไดขั้นที่เหลือ ริมฝีปากหนานุ่มและหนวดเคราที่ซุกไซร้ผิวด้านหลังชวนทำสติกระเจิง
ฮันโซเป็นผู้ชายบ้างาน… ตั้งแต่เด็กจนโตเขาอยู่ในกฎระเบียบและจารีตประเพณีของตระกูลมาตลอด การเข้าหาหญิงสาวในเชิงกามโลกีย์จึงไม่เคยเกิดขึ้น ยิ่งเพศเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่มีประสบการณ์พวกนี้มาก่อน… ยกเว้นเรื่องส่วนตัวที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทำ เรื่องนั้นเขารับรู้และมีการปลดปล่อยบ้างแต่ไม่บ่อยนัก เขาเป็นผู้ชายที่ไม่คิดถึงเรื่องเพศมากนัก แค่ทำงานให้จบวันก็ไม่รู้จะเอาสมองส่วนไหนมาคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ดังนั้นเมื่อถูกกระทำเช่นนี้จึงทำตัวไม่ถูก
ชายเอเชียกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพลางก้าวขาขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย พอดีกับที่มือของชายบ้ากามที่เลื่อนลงไปสัมผัสกับเป้่ากางเกง ฮันโซทรุดฮวบโดยมีร่างสูงใหญ่ของแมคครีทับอยู่ข้างบน หนักและอึดอัด… ขาไม่มีแรงแล้ว แย่ชะมัด… คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อฝ่ามือทั้งสองของร่างข้างบนยังคงขยับไปมาอย่างจาบจ้วง ริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอเริ่มหนักหน่วงจนรู้สึกไม่ดี ทั้งอาการเหนื่อยหอบจากการออกแรงแบกหามและการกระทำก่อกวนใจของแมคครีทำให้หูอื้อตาลายไปหมด ซ้ำยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดีจนคล้ายจะหน้ามืดนี้อีก ใจคิดจะลุกพรวดแล้วเตะให้ตกบันไดหัวกระแทกไปเลยแต่ติดที่ไม่มีแรง
“…งืม… เบบี๋” ฝ่ายลวนลามพูดเสียงอู้อี้ก่อนที่การกระทำอุกอาจจะหยุดลง ฮันโซได้ยินเสียงลมหายใจที่สงบลง มือทั้งสองข้างตกแผละกับพื้นและน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมาจนหายใจไม่ออก หลับ…สินะ เมื่อกี้คือละเมอเหรอ…? ร่างสมส่วนค่อยๆ ขยับตัวเบี่ยงออกด้านข้าง แมคครีไหลลงพื้นราวของเหลวไปนอนแผ่ที่พื้น ฝ่ายคนอกสั่นขวัญผวาก็ขยับตัวอย่างเชื่องช้าไปนั่งพิงกับราวบันได ฉิบ… หมดแรงข้าวไข่ข้นแล้ว
ตาตี่ๆ ของฮันโซยังคงมองตรงไปที่ชายผู้สร้างปัญหาให้กันตั้งแต่วันแรกที่เจอ เดาะลิ้นหน่ายๆ แล้วใช้ปลายหัวแม่โป้งเขี่ยขาคนที่นอนแผ่เผื่อจะรู้สึกตัวแล้วเดินไปนอนเองแต่ดูแล้วคงไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าของบ้านค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วยืนนิ่งพักหนึ่งเพื่อตั้งสติและให้เลือดหมุนเวียนเป็นปกติ ใช้เท้าช้อนข้อเท้าแมคครีขึ้นมาทั้งสองข้างแล้วใช้วิธีลากไปแทน ถ้ามีคนมาเห็นเขาเข้าคงคิดว่าเป็นฆาตกร ส่วนไอ้คนเมาเหมือนตายนั่นเป็นศพที่ถูกลากรอเวลาถูกเอาไปซ่อน
ครู่หนึ่งก็ถึงห้องนอนที่ไม่เคยให้ใครเข้ามารุกล้ำ ใช้เวลาไวกว่าการแบกพยุงเสียอีก รู้อย่างนี้ลากมันมาตั้งแต่ที่ร้านเลยคงจะดี ชายญี่ปุ่นออกแรงลากมาจนถึงหน้าโซฟาแล้วยกแมคครีขึ้นนอนบนโซฟาอย่างทุลักทุเล จบ… พ่นลมออกมาอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่เคยต้องมาดูแลคนเมาแบบนี้มาก่อน ลำบากชะมัดยาด
แมคครีผู้ซึ่งสมควรได้รางวัลออสการ์กำลังนอนตัวอ่อนปวกเปียกให้สมกับเป็นคนเมา ได้ยินเสียงหายใจแรงๆ ของอีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลนัก เกือบแล้ว เกือบจะตบะแตกปล้ำตั้งแต่ตรงบันไดเสียแล้ว กลิ่นหอมของสบู่กลิ่นมินท์เจือเหงื่อจางๆ ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก สัมผัสแน่นตึงของหลังคอยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก อยากจะงับให้จมเขี้ยวเสียเหลือเกิน แต่พอฮันโซทรุดลงแถมยังหน้าซีดแบบนั้นก็ไม่กล้าทำอะไรต่อ แม้จะดูน่ารังแกแค่ไหนก็ไม่กล้าทำอะไรมากกว่านั้น เสียงหอบหายใจหายไปพร้อมกับคำสบถเรื่องรองเท้าที่ไม่ได้ถอดดังขึ้นมาแทน สัมผัสที่ข้อเท้าทำให้รู้ว่าเจ้าตัวถอดรองเท้าให้ เมื่อจัดการเสร็จเจ้าของห้องก็เดินออกไปพร้อมปิดประตู
ฮันโซหิ้วรองเท้าของแมคครีลงวางข้างล่างข้างกับรองเท้าตัวเองแล้วเดินออกไปล็อกประตูหน้า ขาแข็งแรงลากร่างตัวเองไปเอาผ้าขนหนูในห้องนอนก่อนจะระเห็จเข้าห้องอาบน้ำ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นเล็กน้อย ฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามาแล้วเขาจึงเลือกอาบน้ำอุ่น อย่างน้อยคงช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักกว่าวันอื่นได้บ้าง ใจคิดอยากจะแช่น้ำด้วยแต่เวลานี้เริ่มดึกแล้วสำหรับร่างกายชายวัยสามสิบแปดปีจึงต้องตัดใจ จัดการเช็ดตัวผูกผ้าเช็ดตัวบนสะโพกลวกๆ แล้วเดินดุ่มๆ ออกไปยังห้องนอนในความมืด
ขณะนั้นแมคครีกำลังอดกลั้นตัวเอง… นอนนับแกะในใจอย่างสุดความสามารถ แสงจากห้องน้ำทำให้เห็นเรือนร่างสมส่วนนั่นรางๆ หน้าตู้เสื้อผ้า สะโพกกลมใต้ผ้าขนหนูแน่นตึงเมื่อเจ้าตัวก้มโค้งตอนใส่ชั้นใน คนไม่ระวังตัวเลือกใส่เสื้อยืดและกางเกงนอนสามส่วนแล้วเดินลิ่วเอาผ้าไปตากที่ราว ชายผู้แสร้งเมามายก่นด่าตัวเองในใจว่ากำลังขุดฝังตัวเองชัดๆ หมาป่าที่ได้กลิ่นเนื้อแล้วไม่สามารถเอาเนื้อชิ้นนั้นมาได้มันจะอดใจได้นานสักเท่าไหร่เชียว ถ้าไม่เคยเห็นยังพอจะอดทนได้อยู่หรอก ฉิบ… เย็นไว้ลูกพ่อ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ในตอนที่ปิดเปลือกตาท่องคาถาเตือนใจนั้นก็มาบางสิ่งมาทาบทับลำตัว กลิ่นสบู่ของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จลอยมาแตะจมูกครู่หนึ่งแล้วก็ห่างออกไป ผ้าห่มนุ่มจากน้ำใจของเจ้าบ้านทำเอาแมคครีอุ่นวาบ ใจดีเกินไปแล้ว… รู้สึกไม่ดีที่เอาแต่คิดอกุศลเลยแฮะ สงบจิตสงบใจแล้วหลับดีกว่า
หลังจากจัดการสิ่งที่ต้องทำครบ ฮันโซก็เดินไปปิดไฟห้องน้ำแล้วเดินขึ้นไปนอนบนเตียง ความเงียบในห้องนอนมืดและความเหนื่อยล้าทำให้ตาปรือลงอย่างง่ายดาย เสียงกรนเบาๆ จากคนเมาทำให้รู้สึกแปลกจากทุกวัน ไม่ได้มีคนงอแงมานอนด้วยกี่ปีแล้วนะ… ตอนวัยรุ่นเจ้าเก็นจิจะร้องมานอนด้วยบ้าง แต่พอโตขึ้นมาเจ้าเด็กติดเที่ยวนั่นก็ไม่ค่อยมาขอนอนด้วยเท่าไหร่ ชีวิตเรานี่มันตัวคนเดียวจริงๆ ถ้าไม่มีน้องชายก็คงตัวคนเดียวมาตลอด อดคิดถึงไม่ได้ถ้าตอนนี้อยู่ด้วยกันอาจจะมีความสุขกว่านี้ก็ได้ จ้างนักสืบตามหาดีไหมนะ? ความคิดวนเวียนในสมองค่อยๆ กล่อมให้หลับลงสู่ห้วงนิทรา
.
.
.
ฟึบ!
แมคครีสะดุ้งพรวดเด้งตัวขึ้นมาจากการนอน หันรีหันขวางมองรอบห้องก็พบว่าเจ้าของห้องไม่อยู่เสียแล้ว แสงแดดจางๆ ที่ลอดเข้ามาผ่่านมูลี่ทำให้รู้ว่าน่าจะสายแล้ว ชายหนุ่มขยับตัวบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่น การนอนบนโซฟาในวัยนี้มันไม่สบายตัวเลย ยิ่งกับส่วนสูงของเขาแล้ว ปลายเท้าพ้นจากแขนโซฟาไปอีก แต่จะบ่นอะไรได้ล่ะ ถูกหิ้วกลับมาบ้านก็ดีแค่ไหนแล้ว ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มอเมริกาค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูง สอดสายตามองไปรอบห้อง เรียบง่ายเกินคาด เตียงเดี่ยว โซฟา ตู้เสื้อผ้า โทรทัศน์ขนาดกลางและโต๊ะทำงานที่เล็กกว่าตัวข้างล่าง ทั้งที่ห้องก็กว้างแต่ดูไร้ชีวิตชีวาจนอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวใช้ชีวิตอย่างไร สองขาก้าวออกนอกห้องไปเผชิญกับกลิ่นหอมที่ชวนน้ำลายไหล เมื่อลงบันไดไปก็เจอกับเจ้าของบ้านที่ง่วนอยู่หน้าเตา ครัวเล็กๆ ที่เมื่อคืนไม่ทันได้สังเกต บนโต๊ะมีอาหารเช้าแบบอเมริกันวางอยู่แต่เขามั่นใจว่าอาหารเช้าชาติตัวเองไม่มีซุปที่กลิ่นแปลกใหม่แบบนี้แน่นอน
“ทำอะไรอยู่เหรอ” เผลอเอ่ยถามออกไปโดยไม่ทันคิด ฮันโซสะดุ้ง หันขวับมามองแล้วตอบชื่อไม่คุ้นหู “ซุปมิโซะ”
แมคครีไม่ซักไซ้ต่อทำเพียงแค่ยืนกอดอกมองพ่อครัวจำเป็นที่ยืนจ้องหม้อต้มแล้วบ่นงึมงำกับตัวเอง ท่าทางจริงจังเกินจำเป็นนั่นเป็นจุดที่น่ารักและน่ารังแกของฮันโซแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ ตอนที่ไล่สายตามองเพลินๆ คนถูกมองก็สั่งให้กินอาหารในจาน ขนมปังปิ้ง ไข่ดาวและแฮม และน้ำผลไม้ที่เจ้าบ้านบอกว่าให้หยิบเอาเองในตู้เย็น แมคครีทำตามคำสั่งอย่างเร็วไว กินอาหารไปมองแผ่นหลังและต้นคอที่เมื่อวานถูกลวนลามไปอย่างมีความสุข ไม่นานนักก็มีถ้วยซุปมาวางลงบนโต๊ะ
“กินซะ แก้แฮงก์”
“ขอบคุณ” คนรู้แก่ใจดีว่าเมาไม่เมายิ้มรับแกนๆ อย่างเกรงใจ รู้สึกผิดขึ้นมาตงิดๆ ซะแล้วสิ ทำไมถึงเป็นคนซื่อตรงแบบนี้นะ
ฮันโซนั่งลงฝั่งตรงข้ามเพื่อจัดการอาหารในส่วนของตัวเอง เป็นข้าวสวยโปะด้วยบางอย่างสีน้ำตาลหนืดๆ และกลิ่นพิลึกพิลั่น หนุ่มญี่ปุ่นใช้ตะเกียบคีบข้าวและสิ่งนั้นขึ้นมากินคู่กัน ใยขาวยืดตามจังหวะการคีบชวนพิศวง ตาสีน้ำตาลของชาวอเมริกาจ้องจนเจ้าบ้านต้องเอ่ยปากถาม
“อยากลองไหม?”
“มันคืออะไรน่ะ” ถามอย่างระแวงแคลงใจ แมคครีไม่เคยเข้าร้านอาหารเอเชีย ถึงจะเคยกินบ้างเพราะมีเพื่อนเป็นชาวเอเชียหลายชาติแต่ก็ไม่คิดว่าของแปลกๆ นั่นจะรสชาติดี วัฒนธรรมการกินแตกต่างกันเกินไป
“นัตโต… เป็นถั่วหมัก ฉันไม่คิดว่านายจะกินมันได้แต่จะลองก็ได้” ช่างสักชาวเอเชียตอบพลางคีบเมล็ดถั่วไปวางให้ในจาน แมคครีจ้องเมล็ดขนาดเล็กที่อยู่บนจานอย่างชั่งใจ เขาเก็บแฮมเผื่อไว้ล้างปากแผ่นหนึ่ง แมคครีกลั้นใจใช้ส้อมจิ้มมันเข้าปาก กลิ่นเหม็นของอาหารหมักดองและรสชาติเค็มปร่าไม่คุ้นลิ้นทำเอาต้องรีบกลืนมันลงไป แล้วยัดแฮมเข้าไปทั้งแผ่นในคำเดียว แม้จะกลืนลงไปแล้วกลิ่นก็ยังคงคลุ้งในคอ
“หึ…” ฮันโซปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ มุมปากกระตุกขึ้นเมื่อเห็นหน้าของคนต่างชาติซึ่งน้ำตาไหลไปดื่มน้ำส้มไป เสียงไอค่อกแค่กยังคงดำเนินไปจนกระทั่งฮันโซยกถ้วยซุปขึ้นดื่ม ขนาดคนญี่ปุ่นบางคนยังทนกลิ่นมันไม่ได้เลยนับอะไรกับคนต่างชาติ จะว่าไปมันก็ไม่ค่อยต่างจากชีสเท่าไหร่ในความคิดฮันโซ ก็ผ่านกรรมวิธีการหมักเหมือนกัน กลิ่นก็แรงไม่แพ้กัน…
“นายกินได้ยังไง…กลิ่นมัน…”
“กินแต่เด็ก ชินกลิ่นแล้ว ดื่มซุปตามไป เดี๋ยวก็หาย” ว่าแล้วเลื่อนถ้วยซุปที่ว่าเข้าไปใกล้หนุ่มอเมริกันที่หน้าเหยเกกว่าเดิม แมคครีหน้ายู่ คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขายกถ้วยซุปที่ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่เดินลงบันไดมา ยกซดจากถ้วยซุปไม่ใช่วิธีที่ชาวอเมริกันทำแต่ในเมื่อเป็นอาหารต่างชาติ คนญี่ปุ่นว่าอย่างไรคงต้องทำอย่างนั้น แถม…มันน่าจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่าถั่วหมักเมื่อกี้แล้วละ คิดแบบนั้นแล้วก็ดื่มมัน รสเค็มเจือหวานอ่อนๆ ช่างแปลกใหม่ แมคครีดื่มอึกๆ จนหมดแล้ววางถ้วยลงใช้ส้อมจิ้มสาหร่ายและเห็ดนอนอยู่ก้นถ้วยมาลองชิม ไม่แย่… ไม่สิ อร่อย ดื่มง่ายดี
“ในถ้วยนั้นก็ใส่ถั่วหมักนะ”
“หือ? ล้อเล่นน่า”
“จริงๆ แต่เป็นคนละชนิดกัน บดแล้วละลายในซุป” ฮันโซว่าพลางเก็บจานบนโต๊ะไปวางในอ่างล้างจาน “ถ้าชอบจะเติมอีกก็ได้ ฉันทำไว้เยอะอยู่ อยู่คนเดียวกินไม่หมดหรอก”
“งั้นฉันมาอยู่ด้วยดีไหมล่ะจ๊ะ  ที่รัก” ได้ทีกระเซ้า แมคครีเท้าคางมองด้านหลังของอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“ก็เอาสิ”
“จริง?” เอ๊ะ… เดี๋ยว หูฝาดรึเปล่านะ แมคครีตาโต หัวใจลิงโลดขึ้นมาแบบฉุดไม่อยู่ แอบคาดหวังลึกๆ ไม่ได้ ก็พออยู่ด้วยจริงๆ แล้วถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แมวแก่ขี้หงุดหงิดอย่างที่เห็นภายนอก เป็นคุณแมวแก่ใจดีที่หน้าบึ้งไปหน่อยเท่านั้นเอง
“ไม่” ทันทีที่โดนย้อนกลับมา คนถามก็ร้องอุทานด้วยความเสียดาย บ่นงุ้งงิ้งๆ ทำนองว่าห้องกว้างแถมอยู่คนเดียวกลัวจะเหงา ถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วยก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ ฮันโซหันกลับมาเมื่อจัดการจานชามเสร็จ เจ้าตัวพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์ทำครัวแล้วกดอกมอง ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดอะไร การนิ่งเงียบของหนุ่มหน้าตี๋เป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรบ้างอย่างอยู่ ไม่นานนักก็เปิดปาก
“เจสซี พวกเราเพิ่งรู้จักกันนะ”
“แล้ว?”
“ไม่คิดว่าเร็วไปเหรอ การเป็นรูมเมทหรือแชร์เฮาส์มันไม่ใช่ว่าแค่อยู่บ้านเดียวกันนะ”
“ฉันปรับตัวเก่ง” โค้ชหนุ่มตอบกลับทันที “แล้วนายก็จะได้ไม่เหงาด้วย อยู่คนเดียวน่าเบื่อจะตาย ใช่ไหมล่ะ”
เจ้าของร้านสักหน้ายู่ เถียงไม่ได้ว่าไม่เหงา แต่ที่ผ่านมาไม่ได้มีคนมาตีสนิทอย่างที่เจสซีทำ ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากมาย นอกจากเรื่องปากไว พูดอะไรล่วงเกินไปหน่อย หมอนี่ก็เป็นคนคุยง่ายดี ก็…ไม่ได้แย่ คิ้วหนามุ่นเข้าหากันอย่างคนคิดมากเรื่องความสัมพันธ์ เข้าหาใครไม่เก่ง เพราะตั้งแต่เด็กก็ถูกสั่งสอนอย่างเข้มงวดจากที่บ้าน นอกจากเก็นจิน้องชายแล้วก็แทบจะไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน โตมาก็มีแต่คนเข้าหาเพราะเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจทั้งนั้น
“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ขนาดฉันหลงรักนายตั้งแต่แรกยังไม่คิดมากเลย” แมคครีที่เท้าคางพูดพึมพำกับตัวเอง แต่บางทีอาจจะลืมไปว่าห้องครัวมันเงียบจนแค่เสียงเข็มตกก็น่าจะได้ยิน คนพูดนึกขึ้นได้จึงรีบเหยียดตัวขึ้นนั่งตรงมองหน้าเจ้าของบ้าน แดง… มองเห็นแก้มและหูที่แดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ของฮันโซ ตาตี่นั่นเบิกกว้างจนน่าขันแต่ก็ชวนให้รู้สึกเขินไปในคราวเดียว ชายวัยสามสิบปลายทั้งคู่เบนสายตาไปคนละทางราวเด็กวัยรุ่นเพิ่งเคยสารภาพรักครั้งแรก อันที่จริงจากประสบการณ์รัก(ชั่วข้ามคืน)ของแมคครีเหตุการณ์นี้มันเด็กน้อยเอามากๆ กระนั้นก็เถอะ…ไม่เคยเจอใครที่โดนบอกชอบแล้วหน้าแดงนี่หว่า ปกติคนที่เขาเข้าหาจะมีแต่โปรยเสน่ห์กลับเสียมากกว่า
“อ่า… งั้นฉันกลับก่อนนะ ขอโทษที่มารบกวน” ฝ่ายทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดว่าพลางลุกขึ้นไปหยิบรองเท้าจากชั้นวางอีกฝั่งของห้อง
“…อืม” ฮันโซตอบเสียงเบา สูดหายใจเข้าปอดเพื่อระบายความรู้สึกแปลกใหม่นี้ออกจากร่างกาย เจ้าของบ้านเดินไปส่งถึงประตูร้านที่ยังคงแขวนป้าย ‘ปิด’ เพราะเป็นวันหยุดของร้าน แมคครีเปิดประตูแล้วหันกลับมาหาฮันโซ ชายตัวเล็กกว่าเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะได้ตั้งตัวใบหน้านั้นก็โน้มเข้ามาจนริมฝีปากแตะกัน ความรู้สึกจักจี้ที่เหนือริมฝีปากและคางทำเอาคนไร้เดียงสาผงะถอยหนี ผิวขาวเหลืองที่หายแดงไปแล้วเมื่อครู่กลับมาแดงปลั่งอีกครั้ง หัวใจที่ควรจะเต้นตามปกติก็รัวเร็วจะเลือดสูบฉีดดีเกินไป มือของฮันโซขยับขึ้นมาเสยคางอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว แมคครีส่งเสียงอ่อกเบาๆ เซไปด้านหลังพร้อมลูบคางป้อยๆ
“ใจร้าย~!”
“รีบกลับไปเลย ไอ้เวรนี่!!” อดีตคุณชายพ่นคำด่าออกมาพร้อมยกขาจะถีบเจ้าคนฉวยโอกาส แต่หมาป่าเจ้าเล่ห์ก็วิ่งแผล็วออกไปจากระยะเสียก่อน
“อย่าลืมคำตอบนะจ๊ะ ฮันนี่” ร่างสูงว่าพร้อมรอยยิ้มแล้ววิ่งถลาลมออกไป ฮันโซปิดประตูไล่หลังดังปึงพร้อมล็อกกลอนแล้วสบถออกมาอีกระลอกเป็นภาษาบ้านเกิด สัมผัสที่ริมฝีปากยังแน่นชัดในความรู้สึก ฉิบ… โว้ย!! ไอ้อาการหัวใจเต้นรัวแบบนี้มันอะไร?! ไม่ได้ไม่ประสาจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเขิน แต่ไม่เข้าใจว่าเขินทำไม นี่โดนล่วงละเมิดทางเพศนะ!! ให้ตายสิ วุ่นวายเกินไปแล้ว เจสซี แมคครี! ขณะที่ฮันโซหงุดหงิดใจแมคครีก็อารมณ์ดีสุดๆ ยิ้มแย้มอวดความหล่อใต้เคราครึ้มพร้อมฮัมเพลงในลำคลอ ยิ่งโดนรุกก็ยิ่งน่ารัก ให้ตายเถอะน่า นี่แค่รู้จักใกล้ชิดแค่คืนเดียวกับไม่กี่ชั่วโมงก็หลงหัวปักหัวปำขนาดนี้แล้ว อยากใกล้ชิดมากกว่าเดิมจังน้า~

 

……………………………….

สวัสดีค่า เดดไลน์อีสคัมมิ่ง!!!!!!!

เอื้อออออออ ตอนแรกว่าจะลงในบล็อกถึงตอนนี้ค่ะ แต่คิดไปคิดมาอาจจะลงถึงตอนหน้าแทน

เดินเรื่องช้ากว่าที่คิด 555555555555

Fic Overwatch Flirt with you 03 #McHanzo

Standard

Title : Flirt with you
Chapter : 03
Fandom : Overwatch
Pairing :  Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม

 

แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you 


“วันนี้โค้ชดูอารมณ์ดีนะคะ” ลูกศิษย์ในชมรมทักหลังจากถอดที่ปิดหูออก เด็กหลายคนทยอยเดินมาคืนที่อุดหูและปืนให้พนักงานสาวที่เคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ อยู่ตรงเคาน์เตอร์
“ก็วันนี้วันศุกร์นี่นา” ตอบกลับไปเช่นนั้นแม้ที่เธอพูดมาจะไม่ใช่คำถาม แมคครีมองนาฬิกาบนผนังร้านซ้อมอีกครั้งหลังจากดูเวลาไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ห้าโมงครึ่งเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าจะได้เจอหน้าฮันโซ อันที่จริง…เมื่อวานก็แอบไปด้อมๆ มองๆ อยู่นอกร้านอยู่หรอก แต่เห็นว่ามีลูกค้าเลยไม่ได้เข้าไปทักทาย มาคิดดูตอนนี้ก็เสียดาย อย่างน้อยก็ได้คุยถึงจะเป็นเขาที่ก่อกวนคนเดียวก็เถอะ ฮ่า~ อยากเห็นหน้าบึ้งๆ นั่นซะแล้วสิ
“อารมณ์ดีจริงๆ ด้วย” คู่สนทนาพึมพำเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปาก “มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นสินะคะ”
“หือ? ก็มั้ง ประมาณนั้น” ถ้าถามว่าดีไหมน่ะเหรอ มันก็ดีอยู่ เพราะหนุ่มเอเชียคนนั้นน่ะถึวงจะน่าแกล้ง แต่ดูแล้วก็มีจุดที่น่าทนุถนอม คล้ายมีบางอย่างที่เก็บกำไว้คนเดียว อยากรู้จักให้มากกว่านี้ชะมัด
นักศึกษาสาวมองโค้ชที่ยืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินแยกตัวออกไป ปกติแมคครีเป็นโค้ชที่พูดมาก พูดยิบย่อยไร้สาระเสียจนต้องทำตัวให้ชิน แต่วันนี้มาแปลก เงียบผิดวิสัย เอาแต่ดูเวลา อ๊ะ! สงสัยจะมีนัดเดต นั่นสินะ อายุปูนนี้ก็ควรจะมีคู่ได้แล้วละ ลอยชายไปมาน่ะมันดูน่าสงสารเกินไปสำหรับผู้ชายสุขภาพดีผิวแทนเซ็กซี่นะ! ว่าไปนั่น… หลังจากเอากระเป๋าสะพายหลังเรียบร้อยแล้วเธอก็แอบโฉบไปหาแมคครีที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกลนัก “โชคดีนะคะโค้ช”
“ฮะ?” แมคครีสะดุ้งหงึกเมื่อเสียงใสกระแทกเข้ามาในโสตประสาท มองเห็นรอยยิ้มและกำปั้นเป็นเชิงเชียร์อัปของเด็กในโอวาทแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะวิ่งแผล็วไป โชคดีงั้นเหรอ แน่นอนอยู่แล้วสิ ฝีมือระดับนี้ ทำเคลิ้มมานักต่อนักแล้ว ถึงแมวตัวนี้จะไม่เชื่อง คงจะทั้งข่วนทั้งกัดแต่ถ้าทำให้เชื่องได้ละก็… แค่คิดก็ทนไม่ไหวแล้วสิ
“ยิ้มแบบพวกโรคจิตเลยนะ แมค ขยะแขยง” เสียงต่ำเจือเช็กซี่ของซมบราดังเอื่อยๆ มาพร้อมคำด่าที่คุ้นชิน สาวเม็กซิกันกดโทรศัพท์มือถือไปพลางเก็บปืนเข้าตู้ก่อนจะล็อกกุญแจ “คิดอะไรใต้สะดืออีกล่ะสิ?”
“รู้ได้ไง”
“หน้ามันฟ้องหมดแล้วย่ะ เยิ้มซะขนาดนั้น เพลาๆ บ้างก็ดีนะ ระวังจะติดโรค” เธอว่าหลังจากเก็บของหมดแล้ว ตาสีม่วงตวัดมองเพื่อนร่วมงานที่แม้จะผันตัวไปทำงานกับมหาวิทยาลัยก็ยังรับพาร์ทไทม์ที่นี่ต่อ
“ฉันป้องกันทุกครั้งนะ แล้วก็ตรวจโรคตลอดด้วย” ชายหนุ่มยืดอกอย่างมั่นใจในวิถีการใช้ชีวิตของตัวเอง ตั้งแต่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมามาเกือบสิบปี ยังไม่เคยมีเหตุการณ์สาวเจ้ามาหวีดร้องใส่เรื่องท้องป่องหรืออะไรเลยด้วยซ้ำ เซฟตัวเองแค่ไหน
“ตามใจเถอะ ชีวิตนาย” ซมบราว่าพร้อมกับเบะปาก แมคครีจุ๊ปากพร้อมส่ายหัวไปมาเมื่อเห็นว่าเธอไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย ซมบราเป็นเด็กที่เล่นกับเขาเหมือนเป็นเพื่อน จะว่าไปเด็กกว่ารึเปล่าไม่รู้ เธอไม่ยอมบอกอายุเขาซะด้วยสิ
“นี่ ซมบรา คิดว่าฉันจะจีบผู้ชายได้ไหม”
“ปกตินายก็ขอแค่ใส่เข้าไปได้ไม่ใช่รึไง” นั่น…เอาเป็นว่าเป็นพวกเดียวกัน คุยกันเรื่องแบบนี้อย่างตรงไปตรงมา แม้จะเป็นการเตือนเพราะห่วงเรื่องสุขภาพหรืออะไรก็ตาม ไม่มีการมาบอกว่าเป็นห่วงหรอก มีแต่คำด่าที่ช่างแสบสัน จับไปอยู่กับฮันโซเขาคงได้ตัวพรุนไปข้าง น่าจะเข้ากันได้ดีตอนรุมด่ารุมแขวะ
“มันก็ใช่ แต่คนนี้ฉันถูกใจมาก”
“อยากได้ว่างั้น?”
“ถูกเผง!” แมคครีตอบรับเสียงดังพร้อมเปลี่ยนมือเป็นรูปปืนแล้วยิงปิ้วไปที่หญิงสาวซึ่งนั่งเป็นที่ปรึกษาอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ทำตัวเป็นเด็กอยากได้ของเล่นไปได้”
“ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่คนนี้เริ่มคิดว่าถ้าเข้ากันได้คงจะดี”
“จะจริงจังเหรอ ทำตัวหลักลอยแบบนี้คิดว่าจะมีใครเอารึไง” ตอกกลับแบบไม่ไว้หน้า จะมันคือเรื่องจริงที่แมคครีต้องยอมรับ ท่าทางไม่เอาโล้เอาพายเป็นอุปสรรคหลักในการจีบใครสักคนอยู่แล้ว ไม่ว่าใครต่างก็อยากได้คนที่ดูแลตัวเองได้และจะมาช่วยกันสร้างครอบครัวที่มั่นคงทั้งนั้น
“ฉันมีงานทำตั้งสองที่นะ”
“ฉันหมายถึงท่าทาง บุคลิก การแสดงออกย่ะ ดูนายสิ จะสี่สิบแล้วแต่ยังทำตัวแบบนี้อยู่ มันก็ไม่ผิดหรอก แต่ถ้าคนไม่รู้จัก ไม่รู้ว่านายมีงาน มีเงิน ความคิดแวบแรกก็คงไม่พ้นแนวๆ ไม่น่าคบหาในเชิงความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ถ้าแค่เรื่องเซ็กส์ก็พอได้อยู่” ซมบราพูดพลางกดคีย์บอร์ดเป็นจังหวะ
“ไม่จริงน่า ฉันไม่เอาเองต่างหาก มีคนอยากคบฉันเยอะนะ”
“ก็อาจจะมี แต่คนพวกนั้นน่าจะติดใจนายแค่เรื่องเซ็กส์กับท่าทางอ้อร้อมากกว่า” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้ห่อเหี่ยว ไหล่กว้างลู่ลงอย่างคนหมดกำลังใจ ทำเอาคนพูดรู้สึกผิดเล็กๆ
“แล้วเล็งคนแบบไหนไว้ล่ะ”
“ก็…”

ในขณะที่แมคครีกำลังปรึกษากับเพื่อนสนิทสาวอยู่นั้นคุณชายชิมาดะคนพี่ก็กำลังจิบชาควงดินสออย่างสงบสุข ตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างร้าน ท้องฟ้าทอสีม่วงแดงเช่นเคยเมื่อตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ยามเย็นเช่นนี้ชวนให้คิดถึงบ้านยังไงชอบกลแฮะ
เสียงนาฬิกาข้อมือร้องบอกเวลาหกโมงตรงดังขึ้นมาเบาๆ เจ้าตัวถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะวางดินสอและถ้วยชาลง นอกจากชุดน้ำชาญี่ปุ่นแล้วบนโต๊ะก็มีแต่กระดาษที่ขีดเขียนนู่นนี่ไว้เต็มไปหมด มังกรหลายหลากแบบถูกดีไซน์ออกมาจากความคิด แต่ดูแล้วเจ้าตัวจะยังไม่พอใจกับลายพวกนี้นัก
รอยสักขนาดใหญ่จำเป็นต้องออกแบบเทียบขนาดกับสรีระของผู้จ้างโดยตรง ผู้จ้างวานครั้งนี้เป็นชายหนุ่มซึ่งติดต่องานมาทางอีเมล เจ้าตัวบอกว่าไม่สะดวกเดินทางมาที่ร้านจึงแนบรูปช่วงอกและแผ่นหลังมาด้วย ก็พอจะช่วยได้หรอก แต่ถึงอย่างไรการเก็บรายละเอียดจากร่างกายจริงๆ มันจะออกแบบให้เข้ารูปได้ดีกว่า หนำซ้ำยังเป็นกิเลน หรือมังกรจีนซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานที่ร่างกายเรียวยาว สัตว์มงคลชนิดนี้นั้นออกแบบยากเพราะสามารถให้เลื้อยพันอย่างไรก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนที่จะสักและสรีระกล้ามเนื้อของตัวผู้สักด้วย
ฮันโซเหลือบมองแขนซ้ายของตน เจ้านี่ก็ด้วย…สัตว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลชิมาดะเองก็เป็นมังกรเช่นกัน ดังนั้น การที่มีมันอยู่บนผิวจึงเป็นความภาคภูมิเล็กๆ ของเขา การจะสักลายขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการสักนาน และต้องมาสักหลายครั้งกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ขั้นตอนการดูแลก็ยุ่งยากเช่นกัน หากสักที่แผ่นหลังช่วงแรกๆ อาจจะต้องนอนคว่ำเพื่อไม่ให้ผิวหนังเสียดสีกับเสื้อผ้าขณะนอน จะต้องไม่ให้แผลรอยสักชื้นจนเกินไป ห้ามเกาแม้จะคันแค่ไหนก็ตาม และอีกมากมาย อย่างที่เขาว่ากันว่ารอยสักที่สวยเกิดขึ้นจากตอนสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือการดูแลรักษาของตัวผู้สักเองทั้งสิ้น
ว่าไปแล้ว ตอนเขาสักท่อนแขนนี่ก็น่าจะช่วงก่อนเข้าบริหารตระกูลสักพัก ถ้าเจ้าเก็นจิไม่หนีมาซะก่อนมาก็คงต้องสักเหมือนกัน… ตาเรียวตี่ปิดลงพลางย้อนนึกไปเมื่อวัยเยาว์ที่ผ่านมานานเต็มที
.
.
.
‘ท่านพี่~~~!’ เสียงตะโกนเรียกที่ดังจากทางเดินด้านนอกพร้อมเสียงวิ่งตึงตังที่สะท้อนไปทั่วเรือนไม้ชวนให้คนที่ตั้งใจลงพู่กันคัดอักษรอยู่มุ่นคิ้วเข้าหากัน ประตูห้องถูกเลื่อนออกอย่างแรงจนไปกระแทกกับวงกบประตู ร่างของเด็กชายที่คุ้นเคยถลาเข้ามาพร้อมม้วนกระดาษในมือ
‘มีอะไรเก็นจิ ส่งเสียงดังไปทั่วเดี๋ยวท่านพ่อก็เอ็ดเอา’ ฮันโซปรามเจ้าตัวแสบที่ดึงเบาะรองนั่งมานั่งข้างๆ สองมือนั่นคลี่กระดาษที่ถือมาแล้ววางทับลงบนกระดาษคัดอักษรของพี่ชาย บนนั้นปรากฏรูปวาดยึกยือสมนิสัยอยู่ไม่สุขของผู้วาด คงจะพูดไป เล่นไป วาดไปตามประสา
‘มันคือ…?’
‘ก็มังกรของพวกเราไง’ ตอบอย่างโอ้อวดว่าแค่นี้ท่านพี่ก็ดูไม่ออกเหรอ
‘มังกร? หมายถึงสัญลักษณ์ของตระกูลเราน่ะเหรอ’ คนเป็นพี่เอ่ยถามพลางเอียงคอมองรูปบนกระดาษ
‘ช่าย โตไปพวกเราต้องมีมังกรเป็นของตัวเองใช่ม้า นี่ของท่านพี่ สีฟ้าสองตัว ของผมตัวสีเขียวตรงนี้’ เด็กน้อยผมสีเขียวยืดอกอธิบายอย่างฉะฉาน นัยน์ตาประกายวาววับด้วยจินตนาการเปี่ยมสุขในสมอง ฮันโซคลี่ยิ้มเอ็นดูพลางเลื่อนกระดาษนั้นมาพินิจด้วยความสนใจ
‘แล้วทำไมของฉันถึงเป็นสีฟ้าล่ะ? แถมยังมีสองตัวอีก’
‘ก็ท่านพี่น่ะนะ เย็นเหมือนน้ำไหลไงล่ะ สีฟ้าน่ะเหมาะกับท่านมากเลยนะ’ เก็นจิชูนิ้วขึ้นมาราวจะชี้แนะ ‘แล้วก็ที่มีสองตัวนั่นน่ะ ก็เพราะผมรักท่านพี่มากเป็นสองเท่า!’ ว่าแล้วก็วาดแขนสองข้างออกเพื่อแสดงออกถึงขนาดของความรักที่ตนมีให้พี่ชายเพียงคนเดียว
‘ขอบคุณนะ เก็นจิ’ ฮันโซในชั้นประถมหกกล่าวเสียงเบาก่อนจะยกมือลูบหัวน้องชาย ‘ไว้เมื่อถึงเวลาฉันจะใช้มังกรพวกนี้ที่นายอุตส่าห์คิดนะ’
.
.
.
น่าเสียดายที่เจ้าตัวคนออกไอเดียไม่ได้สักด้วย ทั้งที่ออกแบบลายไว้ให้แล้วแท้ๆ แต่คิดอีกแง่อาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะถ้ามีรอยสักเท่ากับว่าต้องเข้ามาแบกรับเรื่องราวของตระกูล มันก็เครียดเอาการ มาตอนนี้เริ่มเข้าใจความคิดอ่านของน้องชายคนดีมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
ฮันโซปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไปอีกครู่ก่อนจะมองเวลา จำได้ว่ามีนัดกับเจสซีไว้ทุ่มครึ่ง ตอนนี้ก็ถึงเวลาปิดร้านเสียแล้วสิ ชายอายุเกือบสี่สิบรวบกระดาษบนโต๊ะทำงานขึ้นมาจัดระเบียบให้เรียบร้อย จัดการเอาตัวหนีบหนีบไว้พร้อมกระดาษโน้ตรายละเอียดที่ลูกค้าต้องการก่อนจะเอาใส่ไว้ในลิ้นชัก ร่างสมส่วนลุกเดินบิดขี้เกียจไล่ความขบเมื่อยพลางไล่ดึงผ้าม่านลง หลังเช็กว่าปิดร้านเรียบร้อยไม่ลืมล็อกอะไรแล้วก็ระเห็จร่างเข้าครัวไปหาอะไรกินรองท้อง

อุปสรรคแรกในการอยู่คนเดียวคือ ทำอาหารไม่เป็น… กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ร่างกายต้องการอาหารที่อร่อยและคุ้นลิ้น เงินทองที่มีก็ใช่ว่าจะไม่มีวันหมด หนังสือปรุงอาหารฉบับคุณหนูที่อัดแน่นไปด้วยเมนูอาหารง่ายๆ และมีรูปประกอบเป็นภาพวาดสุดน่ารักซึ่งอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากบ้านเกิดเมืองนอนจึงได้ใช้จนยับเยิน ช่วงแรกๆ ก็ไหม้บ้าง รสขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง แต่ก็เริ่มดีขึ้นทีละน้อย อย่างน้อยคุณชายชิมาดะก็เริ่มทำอาหารเป็นในระดับที่ทำเผื่อให้คนอื่นกินแล้วไม่อายในรสมือ
ตอนนี้ข้าวไข่ข้นคือทางเลือกแรก เพราะข้าวที่หุงไว้ยังพอเหลืออยู่และทำง่ายสุกไว ตั้งแต่ย้ายมาอยู่คนเดียวความพิถีพิถันในการเลือกกินของฮันโซก็ลดต่ำลงมาก หากเป็นเมื่อก่อนข้าวสวยที่เย็นแล้วไม่มีทางเข้าปากเขาแน่ๆ แม้จะเป็นพันธุ์อะคิทาโคมาชิที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วก็ยังอร่อยก็ตาม แต่ตอนนี้คือมีอะไรก็กินไปเถอะ ฮันโซกดอุ่นข้าวในหม้อหุง เอื้อมไปหยิบไข่ออกมาตอกลงถ้วย เหยาะพริกไทยป่นและเกลือเล็กน้อยแล้วตีจนเหลืองเข้ากัน หั่นใส่ไส้กรอกและโปะชีสลงไป ชายหนุ่มตั้งกระทะรอจนน้ำมันร้อน ไข่ถูกความร้อนจนเหลืองนวลพอดีกับที่หม้อข้าวเด้ง หนุ่มญี่ปุ่นรีบปิดไฟ กุลีกุจอตักข้าวแล้วโปะไข่ที่ยังเยิ้มเล็กน้อยลงไป
“กินละ” ประกบมือพร้อมเอ่ยอย่างเป็นนิสัย ไม่เกินสิบห้านาทีข้าวก็หมดจาน ชายหนุ่มหยิบจานไปล้างพร้อมกับเครื่องครัวต่างๆ ถ้ายังอยู่ที่ญี่ปุ่นก็คงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้หรอก กินเสร็จก็มีคนเก็บให้ตลอดตั้งแต่เด็ก …คิดไปก็รู้สึกว่าบิดาตนก็เลี้ยงมาตามใจอยู่นะ ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ให้การศึกษาดีๆ เน้นให้เรียนอะไรที่นำมาต่อยอดให้กิจการของบริษัท แต่ก็นะ… พอท่านจากไปอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม เงินทองและอำนาจน่ะทำให้คนแตกแยกได้เสมอ
“…อย่าไปคิดดีกว่า” พึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินขึ้นชั้นบนไปหยิบเสื้อฮู้ดมาสวมทับเสื้อยืด หยิบกระเป๋าสตางค์ที่อาจจะไม่ต้องใช้เพราะมีคนบอกว่าจะเลี้ยงแต่ก็เอาติดตัวไว้ก่อนเผื่อโดนเบี้ยว ชายเอเชียล็อกประตูร้านแล้วเดินตรงไปบนทางเท้า อากาศเย็นสบายชวนให้คิดว่าถ้าออกมาเดินเล่นทุกวันก็ไม่น่าจะแย่อะไร ปกติฮันโซจะออกมาวิ่งช่วงเช้ามืดอยู่แล้ว แต่ยามเย็นที่มีคนเยอะ ไม่ค่อยอยากจะเฉียดออกมาสักเท่าไหร่ เริ่มสงสัยว่าตัวเองน่าจะอยู่ตัวคนเดียวมานานเกินไปจนมนุษยสัมพันธ์ถดถอยเหมือนกัน แต่ถ้ามีคนอยู่ด้วยมันก็ไม่ค่อยชินเนี่ยสิ
“ฮาย ฮันนี่” ทันทีที่เหยียบเท้าเข้าไปในร้านก็เจอแมคครีซึ่งยืนซุ่มอยู่ข้างประตู ร่างสูงกว่าเดินเข้ามาใกล้แล้วยกแขนขึ้นพาดบ่าอย่างสนิทสนมทำเอาคิ้วกระตุก
“ช่วยเรียกชื่อฉันให้ถูก แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนี้นะ” พูดเสียงเข้มพลางปรายตามองท่อนแขนที่อ้อมมาจับต้นแขนอย่างตะขิดตะขวงใจ
“น่าๆ อย่าหงุดหงิดสิ” อีกฝ่ายว่าเสียงทะเล้นขณะพาเดินไปนั่งที่บาร์ไม้ วันนี้แมคครีตั้งใจจะดื่มที่ชั้นหนึ่ง ทั้งที่ปกติจะขึ้นไปดื่มข้างบน สาเหตุน่ะเหรอ? ก็เพราะกลัวว่าถ้าคนอื่นเห็นฮันโซจะชวนพนันอีกน่ะสิ แบบนั้นก็จะอดดื่มแล้วนั่งมองหน้าเพลินๆ
“ไง แมค พาเพื่อนมานั่งดื่มเหรอ” ฮานาร้องทักขณะเช็ดบาร์ด้่านหน้า
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซง ฮานา” เด็กสาวเชื้อสายเอเชียมองลูกค้าหน้าใหม่อย่างสนใจ อาจจะเพราะเป็นคนในแถบเดียวกันก็ได้ ฮันโซมองก่อนจะตอบกลับคำทักทาย “อ่า… ชิมาดะ ฮันโซ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คนเอเชียทั้งสองจับมือทักทายกันพร้อมก้มศีรษะ แมคครีมองธรรมเนียมการทักทายที่แตกต่างไปจากของประเทศตัวเอง
“พวกนายมาจากประเทศเดียวกันเหรอ”
“ไม่ใช่ แต่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนเหมือนกัน” หนุ่มญี่ปุ่นตอบ เจ้าตัวนั่งลงที่เก้าอี้สตูลข้างแมคครี
“แต่ก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่นะ” ฮานาเสริมเสียงใส “แล้ววันนี้จะดื่มอะไรกันล่ะ?”
“ขอคิงดุงเคิล(เบียร์ยี่ห้อ Konig Ludwig รุ่นผลิตจากข้าวสาลีสไตล์ดุงเคิล)ละกัน” คนออกเงินสั่งเครื่องดื่มแบบไม่คิดจะถามคนมาด้วย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่เงียบไปจริงๆ กำลังคิดอยู่ว่าอยากดื่มสาเกต่างหาก ตั้งแต่มาอยู่อเมริกาแทบจะไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลย นั่นเพราะจะใช้เงินฟุ่มเฟือยในต่างแดนไม่ได้ ถึงจะมีวีซ่าเข้าเมืองและทำงานอย่างถูกกฎหมายก็เถอะ พอมีเรื่องเข้าโรงพยาบาลค่าใช้จ่ายก็แพงเอาเรื่องอยู่ดี อยู่ตัวคนเดียวไม่มีคนดูแลร้านให้อีกถ้าปิดร้าน ถ้าขาดรายได้ไปแล้วยังมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แค่คิดก็ลำบากแล้ว
“เอ้า นี่จ้ะ” ฮานากลับมาพร้อมขวดเบียร์และแก้วสองใบ แมคครีบริการรินเบียร์ใส่แก้วให้คู่เดตจนเต็มแก้ว ได้ยินเสียงขอบคุณเบาๆ ก่อนที่หนุ่มตาตี่จะยกแก้วขึ้นดื่ม เบียร์ดำขึ้นชื่อของเยอรมนีซึ่งชายเจ้าของร้านภูมิใจนำเสนอที่สุด(เท่าที่แมคครีจำได้)ไหลลงคอช้าๆ รสขมกำลังดีและกลิ่นหอมของใบฮ็อปชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ฮันโซวางแก้วเบียร์ลงก่อนจะเม้มปากแล้วพ่นลมหายใจออกมา อร่อย… เข้มกำลังดี ไม่หนักไปแบบพวกบรั่นดี แต่ก็ไม่ได้เบาเกินไปอย่างสาเกที่ตนแอบอยากดื่มเมื่อก่อนหน้านี้ ชอบใจจนอดเลียริมฝีปากที่มีเบียร์เปื้อนอยู่ไม่ได้
แมคครีมองริมฝีปากฉ่ำเบียร์อย่างอดกลั้น พยายามกักเก็บนิสัยแย่ๆ ของตัวเองเข้ากระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตให้หมดแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มเผื่อจะได้ใจเย็นลง เย็นไว้… อย่ารีบร้อน คิดถึงคำแนะนำซมบราไว้ ต้องทำความรู้จักก่อน ใช่ๆ ต้องคุยกันก่อนสินะ
“ไงล่ะ ชอบไหม”
“ชอบ” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างรวดเร็ว ชวนให้มีหวังว่าความสัมพันธ์นี้คงไม่ยากเท่าไหร่ถ้าเข้าหาถูกทาง “แต่ที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ดื่มแบบนี้”
แม้ญี่ปุ่นจะได้รับอิทธพลกรรมวิธีการกลั่นเบียร์มาจากเยอรมนีแต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่เทียบเท่าต้นฉบับอยู่ดี หนำซ้ำยังพัฒนาสูตรใหม่จนเกิดเป็นฮัปโปชูที่รสอ่อนกว่าอีก ส่วนใหญ่หากไม่ใช่พวกเหล้าผลไม้ โชจูหรือสาเกที่ผลิตในประเทศแล้วละก็ฮันโซมักจะดื่มไวน์เสียมากกว่า และเมื่อดื่มแอลกอฮอล์เท่ากับว่ามีการพูดคุยทางธุรกิจหรือเรื่องการผูกสัมพันธ์เกิดขึ้น
“ฉันคิดว่านายดื่มเก่งซะอีก” แย็บถามพลางคิดแผนร้ายในหัวทั้งที่เมื่อครู่ยังอดทนอดกลั้นตามคำสอนของเพื่อนสนิท
“ก็ดื่มบ่อยอยู่ แต่ไม่ค่อยดื่มเบียร์” ฮันโซตอบงึมงำ การดื่มเบียร์ออกจะเป็นแนวการดื่มกับเพื่อนฝูงหรือพาลูกน้องไปเลี้ยงฉลองซึ่งตัวประธานสูงสุดของเครือชิมาดะไม่เคยได้ทำ แล้วเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะดื่มในเวลาส่วนตัวด้วย ยกเว้นสาเกอุ่นยามแช่น้ำร้อนที่บ่อน้ำพุ
หนุ่มอเมริกันส่งเสียงครางหืมในคอแล้วเอ่ยกระเซ้า “แบบนี้ฉันก็มอมนายได้น่ะสิ”
“จะลองดูไหมล่ะ เจสซี?” ฮันโซปรายตามองพร้อมยักคิ้วเบาๆ เขาหยิบขวดเบียร์ขึ้นรินเบียร์ลงแก้วตัวเองแล้วยกดื่มเบียร์ดำมอมตัวเองเสร็จสรรพ ทิ้งให้แมคครียกธงขาวยอมแพ้กับสายตาที่ยังคงจับจ้องมาแม้จะเจ้าตัวจะซดแอลกอฮอล์อยู่
นี่โดนหยอกกลับเหรอ? หรือที่แสดงออกมาแบบนี้คืออาการเมา? แต่ที่รู้ๆ… เจอแบบนี้ก็ทำเอาไปไม่เป็นเหมือนกัน ปกติมีแต่บึ้งตึงใส่ คิดว่าจะได้ปฏิกิริยาตอบกลับมาแบบเนิบๆ แต่เชือดเฉือนเสียอีก แย่จริง…เริ่มรู้สึกแล้วละ ลากเข้ามุมไปปล้ำเลยได้ไหม? ไม่เคยต้องอดกลั้นแบบนี้เลยนะ!
“เป็นอะไรไป เมาแล้วเหรอ?” มนุษย์ผู้ปล่อยแอตแทกบีมใส่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนชวนมาดื่มฟุบหน้าลงแนบกับเคาน์เตอร์ แมคครีเดาะลิ้นเบาๆ พลางบ่นในหัว ยังจะมาถามอีก… อย่าปล่อยรังสีน่ารังแกเรี่ยราดเซ่ อดใจไม่ไหวจะทำยังไง ไม่อยากผิดธรรมเนียมของชาวเอเชียนะ อุตส่าห์แอบถามทั้งฮานาและเหม่ย สาวจีนหุ่นน่ากอดเรื่องการเข้าหาคนเอเชียมาแล้วแท้ๆ แถมซมบราเองก็แนะนำมาตั้งหลายอย่างแต่ถ้าเจอแบบนี้จะสะกดนิสัยเดิมไม่ได้เอาน่ะสิ
“เปล่า แค่เหนื่อยนิดหน่อย” แมคครีตอบเสียงเนือย เหนื่อยกับการควบคุมตัวเองเนี่ยแหละ! ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วยันตัวขึ้นมานั่งเท้าคางจิบน้ำเมาไปอึกหนึ่ง ทั้งที่น่าจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้วก็สงบได้มากกว่านี้แต่วันนี้ดูเหมือนคิงลุดวิกจะไม่ช่วยเท่าไหร่ ยิ่งมองลำคอที่ขยับตามจังหวะการกลืนนี้ยิ่งคิดอะไรอกุศล
“มีอะไร เจสซี” คนถูกมองละแก้วออกจากริมฝีปากก่อนจะเอ่ยถามพอเป็นพิธีแล้วหันไปสั่งเบียร์เพิ่มจากเด็กสาวหลังบาร์ ดูแล้วคงจะชอบเอามาก ล่อด้วยแอลกอฮอล์แบบนี้ชักเข้าข่ายพวกล่อลวงขึ้นทุกที
“นายกำลังมอมตัวเองโดยที่ฉันไม่ต้องลงมืออะไรเลยนะ”
“ฉันคอแข็งพอ ไม่ใช่เด็กอ่อนประสบการณ์”
“งั้นดวลกันหน่อยไหม” ว่าแล้วก็วางยี่สิบเหรียญลงบนโต๊ะ ฮันโซกระตุกยิ้มพร้อมเสียงหึ เจ้าหน้าหนวดเจสซี…คิดจะแข่งดวดเหล้ากับเขางั้นเหรอ
“ก็เอาสิ บอกก่อนว่าถ้านายแพ้ นายต้องจ่ายค่าเบียร์ทั้งหมดนี้นะ”
“ได้อยู่แล้ว” เพื่อดาร์ลิ้ง(ในอนาคต) เจสซี แมคครียอมเปย์ อยากดื่มทำไหร่ก็จัดไปเลย…

จัด…ไป…เลย…
“อึก…” ร่างสูงใหญ่ส่งเสียงแปลกๆ ขณะวางแก้วเบียร์ลงบนเคาน์เตอร์ ผิวสีแทนเริ่มแดงก่ำจนน่ากังวลว่าจะเกิดผลกระทบจากการดื่มมากเกินไป
“นี่~ แมคพอเถอะน่า ยอมรับเถอะว่าแพ้คุณฮันโซน่ะ” ซงฮานาว่าพลางดึงแก้วซึ่งเหลือแอลกอฮอล์สีเข้มอยู่ครึ่งหนึ่ง เจ้าของชื่อครางอืมแล้วเริ่มเลื้อยลงนอน “อ๊า~ อย่ามานอนเลื้อยตรงนี้สิ ไม่มีใครแบกกลับนะยะ โธ่!”
ฮันโซมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอิหลักอิเหลื่อ เอาอย่างไรดีนะ สมองสองซีกวิ่งวุ่นวายหาวิธีแก้สถานการณ์ ถึงจะเป็นเพราะเจ้าบ้านี่มันไม่ยอมเจียมเนื้อเจียมตัวก็เถอะ แต่เขาเองก็หลอกให้ดื่มไปเยอะอยู่ ตอนแรกแค่จะเอาคืนที่ทำให้เสียพนันเฉยๆ แต่พอคิดอีกทีมันก็ถือเป็นกำไรเพราะได้ดื่มฟรี เขามั่นใจในสกิลการดื่มของตัวเอง แถมยังกินข้าวรองท้องมาแล้วแอลกอฮอล์ดูดซึมได้ช้า สมองที่เริ่มเชื่องช้าลงจากฤทธิ์เบียร์ค่อยๆ ประมวลผลไปทีละขั้นตอน เขาไม่ได้ใจดำขนาดที่จะทิ้ง…เพื่อน…ไว้ในที่แบบนี้ให้เป็นภาระของสาวน้อยผู้ซึ่งพยายามปลุกคนเมาอย่างเต็มที่ อ่า…พาไปส่งที่ห้อง…ไม่ ไม่รู้ว่าหมอนี่พักที่ไหน พาไปที่บ้าน…อือ วุ่นวายชะมัด
“แมค~~~ ลืมตาเซ่ อย่าให้ต้องเอาน้ำเย็นมาราดนะ!” สาวเกาหลีเริ่มแว้ดขึ้นมาสองมือเล็กๆ นั่นดึงแขนของชายหนุ่มที่นอนอ้อแอ้อย่างแรง
“อ่า… เดี๋ยวผมพากลับเอง” ดูขนาดตัวแล้วน่าจะพอลากกลับได้
“เอ๊ะ? อ๊ะ ค่ะ” บริกรสาวหันกลับมาพร้อมสีหน้างงงวยก่อนจะพยักหน้า ฮันโซล้วงกระเป๋ากางเกงแมคครีอย่างถือวิสาสะเพื่อเอาเงินส่วนต่างที่เกินจากยี่สิบเหรียญ เด็กสาวรับเงินไปพร้อมคำขอบคุณและเสนอตัวว่าจะช่วยแบกไปจนถึงประตูร้าน คนยังเหลือสติทั้งสองชีวิตหิ้วปีกคนเมาขึ้นอย่างทุลักทุเล ซง ฮานากัดฟันกรอดออกแรงถูลู่ถูกังลูกค้าประจำที่วันนี้ดันคออ่อนผิดปกติ
“คนเดียวไหวแน่นะคะ?” เด็กสาวชาวเกาหลีถามเมื่อถึงหน้าประตูร้านแล้ว เธอยังคงช่วยพยุงรักแร้ของแมคครีไว้ ฮันโซพ่นลมหายใจเหนื่อยหอบก่อนจะกลั้นใจพยักหน้า
ทันใดนั้นแมคครีก็โพล่งขึ้นมา “หวา~ยยย! เน่ ดูฉันเดินซะก่อน” เจ้าตัวยกแขนออกจากบ่าของทั้งคู่แล้วเซชนประตูร้านดังปึง สาวน้อยอุทานเบาๆ แล้วหันไปสบตากับฮันโซอีกครั้งให้แน่ใจ
“ไหวแหละ ขอบคุณมากที่ช่วยพยุงมาถึงนี่ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง” หนุ่มแดนปลาดิบตอบพลางเอื้อมมือไปดึงแขนเจ้าตัวปัญหาที่ยืนพิงประตูบ่นงึมงำๆ บริกรสาวกุลีกุจอช่วยเปิดประตูร้านให้พลางส่งสายตากังวลตามแผ่นหลังชายวัยสามสิบปลายๆ ทั้งคู่ หวังว่า…คงจะถึงห้องอย่างปลอดภัยทั้งคู่นะ

 

…………………

ตอน 3 มาแล้วค่ะ ช้าไปอีก 555555555

ตอนแรกคิดว่าจะปั่นเสร็จเมื่อวันศุกร์แต่ดันติดนู่นนี่เลยลากยาวมาถึงวันนี้TvT

พวกชื่อจริงตัวละครที่ไม่เหมือนในเกมและข้อมูลในวงเล็บในเล่มเป็นฟุตโน้ตนะคะ

Fic Overwatch Flirt with you 02 #McHanzo

Standard

Title : Flirt with you
Chapter : 02
Fandom : Overwatch
Pairing :  Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม

 

แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you 


หลังจากที่ทั้งวงล้อมได้สติ คำด่าที่พุ่งเข้ามาใส่แมคครีก็ไม่ได้มีเพียงจากชายแปลกหน้าคนนั้นอีกต่อไป เสียงสรรเสริญจากผู้ลงพนันฝั่งหนุ่มเอเชียถาโถมเข้ามาจนเริ่มรู้สึกผิดกลายๆ แหม ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย มันเป็นไปเองน่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเสียงทุ้มๆ ที่เอ่ยมาเรียบๆ ว่าไร้มารยาทนั้นช่างเจ็บแสบกว่าคนอื่น ก็ปกติไม่เคยโดนใครว่าเรื่องพฤติกรรมเล่นหัวเล่นหางของเขานี่ หรืออาจจะเพราะทุกคนชินแล้วก็ได้ ชายผู้เป็นอดีตมือวางอันดับหนึ่งในการแข่งพนันปาลูกดอกยกมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ให้กับสถานการณ์ตรงหน้า
ระหว่างนั้นผู้เข้าแข่งขันที่ยังไม่รู้ชื่อก็เดินหน้าปั้นปึ่งไปหาไรน์ฮาร์ตผู้เป็นเจ้ามือแล้วควักเงินยี่สิบดอลลาร์ที่อุตส่าห์ได้มาจากการแข่งนัดแรกวางกระแทกบนโต๊ะ สีหน้าของเขาบึ้งตึงเสียจนชายเฒ่าส่งเสียงขำขัน
“ตั้งแต่รู้จักกันมาครั้งนี้นายดูเครียดที่สุดเลยนะรู้ไหม”
“ไอ้เวรนั่น…” เจ้าตัวสบถออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดเสียหลายคำ ทำเอาไรน์ฮาร์ตยิ่งหัวเราะเข้าไปใหญ่ เสียเงินน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะตาเมื่อครู่ได้มาเยอะกว่า แต่แพ้เนี่ยสิ แพ้เพราะคนอื่นด้วย ไม่ใช่เพราะฝีมือตัวเอง
“แก้มือไหม”
“ไม่ละ” คนอารมณ์ไม่ดีตอบกลับแบบทันควัน เสียอารมณ์ไปแล้ว อย่างไรก็ไม่อยากอยู่ต่อ ขณะที่กำลังจะเอ่ยลาชายเฒ่าเจ้าของร้าน
“โว้วๆ ดื่มด้วยกันก่อนสิ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” เสียงทุ้มแหบเจือกวนประสาทร้องเรียกพร้อมแรงดึงที่ไหล่ ฮันโซหันควับกลับไปมองเขม็ง ปัดมือที่สัมผัสไหล่ทิ้งดังเผียะ
“ไม่ต้องการ”
“อย่างอนเป็นสาวสวยไปหน่อยเลยน่า นี่ฉันเลี้ยงเพื่อขอโทษไง นาย…ชื่ออะไรนะ” คนที่ชื่อเจสซีอะไรนั่นพูดจ้อต่อราวกับฟังคำว่า ‘ไม่ต้องการ’ ไม่ออก
“…กลับนะละไรน์ฮาร์ต” ชายหนุ่มในเสื้อฮู้ดเมินก่อนจะหันไปพูดกับชายชาวเยอรมัน
สองขาจ้ำอ้าวหนีผู้ชายผมน้ำตาลที่คาบมวนซิการ์ซึ่งเดินตามมาแม้จะออกจากร้านมาแล้ว มุมปากที่ปกติไม่ค่อยขยับขึ้นยิ่งง้ำงอจนน่าขัน พยายามไม่สนใจเสียงรองเท้าหนังที่กระทบพื้นและเสียงผิวปากเป็นจังหวะจากข้างหลัง แต่สุดท้ายฮันโซก็เดาะลิ้นเบาๆ พร้อมถอนหายใจหนักๆ
“จะเดินตามถึงบ้านเลยรึไง?” หันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มที่ใส่หมวกคาวบอย สองแขนยกขึ้นกอดอกเขม่นมองอย่างเอาเรื่อง
“เปล่าสักหน่อย ฉันเดินเล่นต่างหาก นายนี่ขี้ตู่จัง”
ได้รับคำตอบชนิดที่ชวนให้ความดันขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“ไปไหนก็ไปเลย…อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ หงุดหงิด” ชายเอเชียเค้นเสียงไล่ เหม็นขี้หน้าชะมัด! ต่อยคนนี่ที่ประเทศนี้มีความผิดหนักแค่ไหนนะ หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว ให้ตายเซ่!
“อารมณ์ร้ายจัง ฉันไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย ไม่คิดว่านายจะเสียสมาธิง่ายขนาดนั้นนี่นา” เจสซียิ้มแผล่กลับมาอย่างไม่รู้สึกผิดทำให้คนมองยิ่งอารมณ์ขึ้น มั่นใจว่าถ้าคุยต่อ อาจจะถลันไปต่อยให้ปากแตกสักที จึงหันหลังกลับตรงกลับบ้านต่อโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเดินตามมา
รู้สึกไม่ดี… ตอนนี้ฮันโซเริ่มเข้าใจผู้หญิงที่โดนคุกคามโดยพวกโรคจิตที่แอบเดินตามมาถึงบ้าน ถึงเขาจะเป็นผู้ชายอกสามศอกหนวดเฟิ้ม ลายพร้อยด้วยรอยสักและเจาะหูเจาะจมูกก็เถอะ ไม่ได้หมายความว่าการมีไอ้บ้าที่รู้แค่ชื่อนามสกุลเดินตามต้อยๆ ยามค่ำคืนจะไม่รู้สึกอะไร เจ้าตัวเริ่มบ่นในใจเป็นภาษาบ้านเกิดอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่เห็นตัวอาคารคุ้นตาเขาก็เริ่มเดินซอยเท้าอย่างไม่รู้ตัว ก้าวฉับๆ ตัดผ่านความมืดตรงดิ่งไปยังประตูที่ปิดล็อกอย่างดีแล้วควักกุญแจขึ้นไข ได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาตามลม แต่ตอนนี้ชายญี่ปุ่นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ดันประตูเข้าไปผ่างแล้วปิดล็อกอย่างดี ร่างสมส่วนวิ่งถลันขึ้นบันไดไปชั้นบน ฮันโซพุ่งไปยังหน้าต่างที่อยู่ฝั่งถนน แนบใบหน้าชิดกับมูลี่ดึงขึ้นลงก่อนจะใช้นิ้วถ่างรอยแยกของมู่ลี่พลาสติกออกดู ตาตี่เบิกกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนเมื่อเจ้าคนแปลกหน้าที่ชื่อเจสซีนั่นเงยหน้ามองแล้วยกนิ้วขึ้นแตะหมวกแล้วสะบัดขึ้นราวจะบอกว่า ‘บาย’ แล้วเดินจากไป
เจ้าของบ้านขนอ่อนลุกชันทั่วทั้งร่าง หัวใจเต้นโครมครามราวกับเป็นตัวเอกภาพยนตร์สยองขวัญ ฉิบ… เป็นสตอล์กเกอร์เหรอ…? ชายผู้ตื่นตระหนกผิดปกติยืนตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง เสียงหัวใจในอกค่อยๆ กลับเข้าสู่ระดับปกติ เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเสียหน้าอยู่เหมือนกันที่เดินจ้ำอ้าวขนาดนั้นแต่อารมณ์ตอนนั้นมัน… คิดแล้วขนลุก อย่าเจอะเจอกันอีกเลยนะ เจสซี! หมายมั่นในใจว่าจะไม่ไปเหยียบบาร์ของไรน์ฮาร์ตอีกเป็นอันขาดแม้พนันปาลูกดอกจะสนุกมากก็เถอะ แต่ให้เจอหน้าไอ้หมอนั่นอีกละก็… ฮันโซทำท่าขนลุกขนพองคนเดียวแล้วตัดสินใจอาบน้ำเพื่อชะล้างความรู้สึกน่าอึดอัดที่ฝังใจ

ระหว่างนั้นฝั่งเจสซีคนที่ว่ากำลังเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี หนุ่มมะกันย้อนกลับมาที่สถานบันเทิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากท่าทีเหี่ยวเฉาต่างจากเมื่อชั่วโมงก่อนลิบลับ ขอดื่มสักช็อตก่อนกลับละกัน เมื่อกี้แทบไม่ได้แตะเลยนี่นา
“ขอหนักๆ สักแก้ว” เขาว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้สูงริมบาร์ ริมฝีปากขยับยิ้มเมื่อนึกถึงท่าทางลุกลี้ลุกลนนั่นของผู้ชายเอเชียคนนั้น สนิทรึก็ไม่ ยังไม่รู้ชื่อด้วยซ้ำ แต่ตลกดี เหมือนได้แหย่แมวแก่ขี้รำคาญให้โมโหเล่น
“อารมณ์ดีนะจ๊ะ พ่อคุณ” ซงฮานา สาวน้อยชาวเกาหลีผู้ประจำที่บาร์ชั้นหนึ่งทักทาย เธอเป็นวัยรุ่นที่มาทำงานพาร์ทไทม์ในแหล่งอโคจรนี้ แม้จะอันตรายไปหน่อยสำหรับเด็กวัยสิบเก้า แต่รายได้ดีจึงยอมเสี่ยง ว่าไป…ก่อนหน้านี้เหมือนลีน่าที่ชั้นสองก็ทัก แต่คนละความหมายกันเลย นิ้วกร้านจับแก้วช็อตยกขึ้นซดในครั้งเดียว ความร้อนวาบจากฤทธิ์แอลกอฮอล์พุ่งขึ้นวูบหนึ่งทำเอาต้องพ่นลมหายใจระบายออกมา
“ไปแหย่แมวมาน่ะ”
“เอ๋? แมว? ลูกแมวเหรอ น่ารักไหม” เธอถามเสียงใสอย่างสนใสสัตว์ตัวเล็กน่ารักตามประสาเด็กสาว
“แมวแก่…ไม่น่ารักหรอก” แมคครีตอบพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ เมื่อคิดถึงใบหน้าบึ้งตึงที่ง้ำงอยิ่งกว่าม้าหมากรุก
“เห…” เสียงต่ำลงในทันใดเมื่อหมดความสนใจ คุยต่ออีกครู่หนึ่งเธอก็กลับไปให้ความสนใจกับลูกค้าต่อ
แมคครี่นั่งเอื่อยจุดซิการ์อัดเข้าปอดช้าๆ พรุ่งนี้มีคิวเข้าไปโค้ชเด็กที่มหาวิทยาลัย แต่เป็นช่วงบ่ายๆ นอนดึกตื่นสายได้สบาย ตาสีน้ำตาลอ่อนมองเข็มบนหน้าปัดนาฬิกาที่ขยับบอกเวลาสี่ทุ่มเกือบครึ่ง อืม… กลับเลยก็ได้ มือหนาล้วงหยิบค่าเครื่องดื่มออกมาวางไว้บนบาร์ไม้
“ไปแล้วนะ” ชายหนุ่มกล่าวลากับฮานาที่ง่วนทำค็อกเทลให้ลูกค้าอยู่ ร่างสูงผินเดินอาดๆ ออกจากร้านที่เพิ่งเหยียบเข้ามาได้ราวสิบนาที ไฟคึกคักเริ่มมอดอีกแล้วสิ…
เคยได้ยินมาว่าหากรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาในช่วงเย็นๆ ถึงค่ำๆ หมายความว่าเรารู้สึกว่าชีวิตไม่มั่นคง อาจจะเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แมคครีครุ่นคิดว่าหรือเพราะตนเป็นคนเลื่อนลอยแบบนี้กันถึึงได้รู้สึกเหงาขึ้นมากะทันหัน
เมื่อถึงห้องเช่าก็ล้วงกุญแจออกมาไข จัดการเปิดไฟเสร็จสรรพแล้วเดินตรงดิ่งไปหน้าโทรทัศน์ ยังไม่ง่วง… ชายวัยสามสิบปลายๆ นอนยืดกายบนโซฟายาว ทั้งที่อยู่คนเดียวแต่ดันซื้อโซฟามาซะใหญ่ ถึงบางทีจะได้ใช้เวลาหิ้วสาวมาห้องก็เถอะ แต่พอนอนหง่าวคนเดียวแล้วมันช่างหว่าเว้เหลือเกิน
สายตาเหม่อมองหน้าจอสามสิบหกนิ้วตรงหน้าที่ปรากฏรายการวาไรตี้ตลกโปกฮา เสียวหัวเราะจากบรรดาผู้คนในหน้าจอดังกระเทือนสมองจนรู้สึกหงุดหงิดผิดปกติ แย่จริง… นี่มันช่วงวัยทองหรือไร ควรทำอย่างไรกับตัวเองดีล่ะทีนี้ อาบน้ำ…ดีกว่า น้ำเย็นๆ น่าจะทำให้รู้สึกดีได้บ้าง ร่างสูงลุกไปเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้าที่อัดแน่นไปด้วยผ้าผ่อนที่ยังไม่ได้ซัก น้ำเย็นๆ จากฝักบัวชวนให้รู้สึกดีไม่น้อย
หมดวัยนอยด์เรื่องที่ยังโสดแล้ว แต่ก็อดนอยด์ไม่ได้อยู่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เปิดใจแต่มันไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ สักทีนี่สิ คนอื่นก็มองว่าเป็นพวกหลักลอย สายวันไนท์สแตนด์ซะด้วย ถึงจะทำตัวเองด้วยส่วนหนึ่งก็เถอะ เรื่องบนเตียงก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่นะ การใช้สิ่งนี้วัดความน่าจะเป็นในการเข้ากันได้น่ะดีที่สุดแล้ว ความรักไม่ได้ใช้ใจอย่างเดียวสักหน่อย ของแบบนี้ร่างกายก็ต้องเรียนรู้กันด้วย
จะว่าไม่มีที่ถูกใจเลยก็ไม่ใช่ ตอนนี้ที่ถูกใจก็มีหรอก แต่ท่าทางจะยากแฮะ อย่าว่าชวนขึ้นเตียงเลย ชวนคุยดีๆ ยังยาก แหม ไม่น่าไปก่อกวนจริงๆ ท่าปาลูกดอกนั่นสวยสุดๆ ไปเลย ทำเอานึกถึงพวกนักกีฬายิงธนูที่ฝึกสมาธิและท่ายืนที่ทำให้ร่างกายเกิดสมดุลมาเป็นอย่างดี น่าสนใจจริงๆ ด้วยนะ เจ้าแมวแก่คนนั้นน่ะ ใบหน้าหล่อเหลาขยับยิ้มกริ่มพร้อมความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมอง
อาบน้ำเย็นนี่มันดีจริงๆ น้า~
.
.
.
กรุ๊งกริ๊ง
“…” ฮันโซเงยหน้ามองผู้มาเยือนยามบ่ายเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้คิ้วหนากลับขมวดมุ่นเข้าหากันต่างจากทุกครั้งเสียนี่
“ไง พ่อหนุ่ม” เสียงแหบต่ำของไรน์ฮาร์ตวันนี้ฟังดูรู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ไม่ได้ช่วยให้คิ้วและริมฝีปากแสดงอารมณ์หงุดหงิดคลายลง เมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญติดสอยห้อยตามชายสูงวัยเข้ามาด้วย เจสซีที่มาก่อกวนการพนันจนเขาพ่ายแพ้เมื่อสองสามคืนก่อน ยังแค้นไม่หาย
“ไง เบบี๋ วันนี้ก็หน้าบึ้งอีกแล้วนะ” ผู้มาเยือนหน้าใหม่ทักทายเสียงใสไม่เกรงใจเจ้าบ้าน ฮันโซเขม่นมองอย่างแมวหวงถิ่น ถ้าไม่เสียมารยาทกับไรน์ฮาร์ตจะออกปากไล่ให้ไปพ้นๆ หน้าเสียฉิบ หนุ่มเอเชียขยับมือรวบงานออกแบบลงลิ้นชักก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะชงกาแฟ
ร้านสักที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐแล้วจะต้องมีห้องปฏิบัติการแยกไว้ เป็นห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอ สะอาดสะอ้านและอุปกรณ์ต่างๆ ครบครันซึ่งในร้านนี้ห้องนั้นน่าจะเป็นจุดเดียวที่สว่างและไร้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นมากที่สุด เนื่องจากเป็นห้องแยก เวลามีลูกค้ามาสักฮันโซจึงต้องล็อกลิ้นชักโต๊ะทำงานและที่เก็บเงิน อยากจะจ้างลูกมือสักคนแต่ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้รับสักบ่อยขนาดนั้น ไม่ได้เดือดร้อนขนาดที่ว่าจะต้องหาภาระมาเพิ่มค่าใช้จ่าย
“ขนาดชงชายังหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยอ่า ระวังจะไม่มีลูกค้ากล้ามาสักด้วยนะ”
ชายหนุ่มตาตี่ชะงักไปครู่หนึ่งขณะเทน้ำร้อนลงในกาน้ำชา จิตใจฝั่งดีซึ่งถูกเสี้ยมสอนมาเรื่องมารยาทและขนบที่ควรปฏิบัติกำลังตบตีกับจิตใจที่แท้จริงซึ่งอยากจะทำการไล่แขกออกไปจากร้าน ทำโอฉะสึเกะดีไหม…? ไม่สิ แค่นั้นมันไม่น่าจะรู้สึกอะไร มันน่าเอาใบชากรอกปากแล้วตามด้วยน้ำร้อนให้สำลักตาย
“แมคครี พอแค่นั้นแหละ” คนมีอายุมากสุดในที่นี้เอ่ยปากปราม ไม่ใช่อะไรหรอกดูจากสีหน้าเจ้าบ้านแล้วอาจจะเอาน้ำร้อนนั่นสาดใส่หน้าทะเล้นของเจ้าแสบนั่นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ชายสัญชาติอเมริกาที่ชื่อ เจสซี แมคครี ยักไหล่ก่อนจะเดินไปนั่งตรงโซฟาเล็กสำหรับลูกค้าอย่างช่วยไม่ได้ ตาคมสอดส่ายมองไปทั่วร้าน เป็นร้านสักที่ให้บรรยากาศเหมือนมีกลิ่นของเจ้าของร้านอยู่ทั่ว สงบผิดคาด ก่อนจะขอติดสอยห้อยตามไรน์ฮาร์ตมาเขาแอบล้วงข้อมูลฝ่ายตรงข้ามมาเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนเฒ่าเยอรมันจะมองออกแต่ไม่ได้ว่าอะไร
ระหว่างรอฮันโซจัดการน้ำชา ไรน์ฮาร์ตก็ถือวิสาสะเรียงหมากบนกระดาน ความเงียบที่เป็นปกติวันนี้ดันชวนอึดอัด เพราะฮันโซยังคงทำทีว่าง่วนกับการมองใบชาที่ลอยฟ่องในกาน้ำชาทั้งที่ปกติต้องเดินมาจัดการตัวหมากเหล่านี้ ชายผู้เป็นกลางพยายามทำใจกับสายตาเหมือนลูกหมาได้ของเล่นใหม่ของแมคครีที่อ้อนวอนขอมาด้วย รู้จักกันตั้งแต่เจ้าเด็กนี่ยังละอ่อนไม่เคยเห็นมันจะใคร่รู้ประวัติใครมาก่อน ‘ปกติมีแต่คนเข้าหา’ หากถามคงได้คำตอบชวนหมั่นไส้กลับมา
แต่ก็นั่นแหละ… เห็นใจฝั่งฮันโซมากกว่าน่ะสิ เจ้าเด็กตาตี่นี่มันขี้รำคาญ เจอคนเจ๊าะแจ๊ะหน่อยก็หน้านิ่วอย่างกับตะคริวกิน พอนึกภาพเจ้าสองคนนี้คบกันแบบที่แมคครีต้องการแล้วรู้สึกว่าต้องได้ทะเลาะกันแน่ อย่างน้อยหนุ่มญี่ปุ่นก็คงรำคาญที่มีหมาตัวเขื่องมาเกาะแกะพันแข้งพันขาน่ะแหละ
แกร๊ก…
คนขี้รำคาญที่ว่าวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะ ถ้วยขนาดเล็กถูกหยิบมาเพิ่มเป็นสามใบ มือขาวจับหูกาแล้วยกขึ้นรินช้าๆ ท่วงท่าสง่างามช่ำชองทำเอาแมคครีมองตาค้าง ให้ตาย… แมวแก่นี่ดูท่าจะเป็นแมวมีฐานะมาก่อน ไม่สิ จริงๆ ก็น่าจะรู้ตั้งแต่เห็นอาคารนี้แล้ว ถึงไม่ได้ใหญ่มากแต่การซื้อตึกขนาดเล็กติดถนนนี่ก็ใช้เงินไม่น้อย
มิน่าล่ะ คำว่า ‘ไร้มารยาท’ นั่นลอยแว่วเข้ามาในสมอง เป็นแมวที่เคยชินกับอะไรที่เคร่งครัดสินะ น่าเอ็นดูเสียจริง อยากจะทำให้หลุดลุ่ย อยากเปลื้องมารยาทที่เกาะติดตัวเต็มตัวจนกลายเป็นอีโก้นั่นออกซะเหลือเกิน
“หึฮึ่ม” เสียงกระแอมขัดจินตนาการที่ลอยฟุ้งกลบกลิ่นชาดังขึ้น หมุ่นมะกันหันไปสบตากับไรน์ฮาร์ตที่ส่งสายตาปราม เจ้าตัวยักคิ้วหลิ่วตาให้ก่อนจะลุกไปหยิบถ้วยน้ำชาด้วยตัวเอง รสชาติไม่คุ้นลิ้นทำเอาหน้าเบ้
“คืนนี้ไปที่ร้านฉันอีกสิ มีแต่คนถามหานาย” ไรน์ฮาร์ตว่าขณะเดินหมาก
“ไม่เอาละ เสียงดัง” ฮันโซตอบ ตาสีน้ำตาลปรายมองแขกอีกคนที่มายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ข้างโต๊ะ
“จริงๆ แค่กลัวจะแพ้อีกมากกว่ามั้ง” จู่ๆ ก็แทรกเข้ากลางปล้องแบบไม่กลัวโดนด่าอีกครา
“ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะคนไร้มารยาทแบบนายไง”
“แต่ถ้านายมีสมาธิมากกว่านี้ก็คงไม่เป็นแบบนั้นหรอก ยอมรับเถอะว่านายน่ะไม่ได้เก่งขนาดนั้น” คำโต้ที่ไม่อาจเถียงได้ทำให้มุมปากฮันโซบิดเบี้ยวลง แมคครียิ้มอย่างผู้มีชัย คนกลางอย่างไรน์ฮาร์ตถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะบอกให้หยุดทะเลาะกันเสียที
“พวกนายไม่ใช่เด็กประถมกันแล้วนะ” ชายสูงวัยว่า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นครูประถมที่ต้องคอยห้ามทัพเด็กตีกันเพราะแค่แย่งของเล่น
ช่างสักทำหน้าประหนึ่งถูกบังคับกินยาขมแล้วกลับมาสนใจกระดานหมากรุกแทน ไม่ใช่ว่าเป็นพวกแพ้ไม่ได้ อย่างเกมกระดานพวกนี้เขาก็แพ้ไรน์ฮาร์ตบ่อยไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเพราะถือว่าได้ทำเต็มที่แล้ว แต่ไอ้ที่แพ้เพราะคนอื่นเนี่ยยอมไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดหรือฝีมือตัวเองสักนิด อาจจะผิดที่สมาธิหลุดก็ได้ แต่ตัวการมันก็ไอ้คนที่ยืนหัวโด่อยู่นี่ไง
จนแล้วจนรอดวันนี้ฮันโซก็แพ้หมากรุกด้วยฝีมือตัวเอง ชายชรากล่าวคำลาก่อนจะเดินออกไป ไรน์ฮาร์ตไปแล้ว แต่ผู้ชายที่ชื่อเจสซียังไม่ไป ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตลายสกอตกางเกงยีนยืนพิงผนังมองเจ้าบ้านที่เก็บถ้วยน้ำชา
“มีอะไรอีก เจสซี” สถานการณ์ดีขึ้น อย่างน้อยก็เรียกชื่อท้าย ระหว่างเกมแมคครีเป็นคนกลางคอยยุแยงตะแคงรั่วให้คนนู้นเดินหมากแบบนี้ คนนี้เดินหมากแบบนั้น การมีปฏิสัมพันธ์ทำให้ฮันโซทำใจปล่อยวางได้มากขึ้น หมอนี่นิสัยเป็นแบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะชอบใจคำพูดคำจาไม่ระวังปาก
“ก้นนายสวยดี มองเพลิน” แมคครีหยอกตามมาด้วยผิวปากเป็นจังหวะ

หนุ่มเอเชียกลอกตาไปมา นั่นปะไร ปากนั่นน่ะน่าฟาดให้มันพูดไม่ได้จริงๆ ชิมาดะ ฮันโซเติบโตมาในประเทศที่ยึดถือขนบธรรมเนียมเรื่องการคิดก่อนพูด การพูดละลาบละล้วงผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ จะมองว่าเป็นพวกเก็บอารมณ์และความคิดหรือหัวโบราณก็ได้ แต่การพูดแบบไม่มีหูรูดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ แต่ว่าตามหลักพื้นฐานแล้ว… ไม่ว่าประเทศไหนก็ห้ามพูดเรื่องเพศในเชิงนี้ไม่ใช่เหรอ แบบนี้แจ้งความได้ไหม ถือเป็นการลวนลามทางวาจารึเปล่านะ?

“มีอะไรก็รีบพูดมา ก่อนที่ฉันจะรำคาญแล้วไสหัวนายออกจากร้าน”

“ใจเย็นสิ เจแปนนิสบอย ก็แค่จะชวนไปเดต…” เมื่อเจอสายตาขวางๆ นั่นตวัดมาแบบคราวนี้จะไล่ออกไปจริงๆ ก็ยกมือยอมแพ้อย่างที่ทำประจำ “โอเค จะชวนไปร้านไรน์ฮาร์ตน่ะ เผื่ออยากจะแก้มือ แล้วก็ฉันจะได้เลี้ยงเหล้าไถ่โทษด้วย”

“…”

“น่า มีมิตรดีกว่ามีศัตรู ฉันเข้าหานายอย่างเป็นมิตรนะ”

“…” สมองฮันโซกำลังประมวลผลอย่างหนักหน่วง ช่วงเวลาสามปีที่มาตั้งรกรากที่นี่เขาอยู่คนเดียวมาตลอด ไม่เคยยุ่มย่ามกับใคร นอกจากการติดต่องานกับลูกค้าแล้ว ก็น่าจะมีเพียงไรน์ฮาร์ตที่เขาเปิดใจให้มากที่สุด กว่าจะนั่งเล่นหมากรุกจนยอมไปร้านเหล้าของไรน์ฮาร์ตนั่นรู้ไหมว่านานแค่ไหนถึงยอมตกลง แต่จู่ๆ ก็มีคนมาพูดแบบนี้… นี่มัน… ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน คัลเจอร์ช็อก… คนญี่ปุ่นไม่ปฏิบัติแบบนี้ คนแดนปลาดิบเป็นชนชาติที่อ้อมค้อมและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างนอบน้อม การจะเป็นเพื่อนกันนั้นจะต้องมีการผูกสัมพันธ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากกว่านี้ ต้องมีการพูดคุยและเข้าใจอุปนิสัยกันมากกว่าแค่การเจอหน้ากันสองสามครั้ง

“นายเป็นคนจริงจังเกินไปนะ เคยมีคนพูดไหม” คนชวนเป็นเพื่อนแซวเบาๆ ริมฝีปากขยับยิ้มขำกับร่างเล็กกว่าซึ่งยืนคิดไปเป็นนาทีเพียงแค่ชวนไปดื่ม

‘ท่านพี่จริงจังเกินไปแล้ว!’ เหมือนมีเสียงตะแง้วๆ ในอดีตแว่วเข้ามาในหู นึกออกแล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้เวลาเจอเจสซี นี่มันโขลกเดียวกับเก็นจิชัดๆ เด็กนั่นก็พูดไม่คิดเหมือนกัน… พูดถึงหน้าอกหน้าใจหญิงสาวได้อย่างหน้าไม่อาย ทั้งที่ควรจะให้เกียรติพวกเธอแท้ๆ

“…วันไหน?” จู่ๆ เจ้าของร้าน Scatter ที่นิ่งเงียบไปนานก็ส่งเสียงออกมา

“หือ?”

“นายจะนัดฉันไปร้านไรน์ฮาร์ตวันไหน?”

เยส!!! เจ้าแมวแก่ตัวน้อยยอมมาเล่นของเล่นที่ซื้อมาล่อแล้ว มุมปากแมคครีกระตุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แย่จริง… หมอนี่น่าสนใจจริงๆ แฮะ ทั้งที่ทำท่าคิดหนักขนาดนั้นแท้ๆ ไอ้ท่าทางปั้นปึ่งยามหงุดหงิดนั่นถูกใจเขาไม่น้อย แต่ดูแล้วหากหยอกมากไปจะถูกไล่ตะเพิดเอาได้ เพราะงั้นจึงยอมสงบเสงี่ยมบ้างบางเวลา

“เอ้า สรุปว่ายังไง”

“คืนวันศุกร์ได้ไหม?”

“ได้” ฮันโซตอบตกลงอย่างง่ายดาย แน่นอนสิ เขาไม่ได้มีธุระอะไรอยู่แล้วนี่

“สัก…ทุ่มครึ่งละกัน ไว้เจอกันนะ ฮันโซ” ร่างสูงผิวแทนรีบสรุปความแล้วเปิดประตูกระจกออกจากร้าน ฮันโซเห็นแวบๆ ว่ามือข้างหนึ่งถือไฟแช็กสีเงินไว้ ดูท่าจะอดทนไม่สูบซิการ์นานพอดู ทันทีที่ประตูปิดลงก็มีควันสีขาวลอยเอื่อยขึ้นมา

ดีมาก! ทำตามกฎของร้านได้ดี เพิ่มคะแนนความเป็นมิตรหนึ่งคะแนน ฮันโซชมในใจแล้วยกถาดชาเข้าไปล้างทำความสะอาดด้านหลังร้านซึ่งเป็นครัวขนาดเล็ก มือขาวเช็ดมือกับผ้าขนหนูที่แขวนไว้แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงบนปฏิทิน

‘ライン爺さんのバール 7.30 PM. W JS.’

 

………………………………

สวัสดีค่า มาลงแล้ว เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

สปีดการลงตอนนี้คือสองสัปดาห์ต่อตอนTvT

เดดไลน์ใกล้เข้ามาแล้วค่ะ สปีดการแต่งต้องไวขึ้นแต่คงลงเวลาเท่าเดิม //โดนตี

เล่ม Flirt with you น่าจะมีของแถมนะคะ จะสามารถแจกไปกับทุกเล่มได้รึเปล่าอันนี้ขอดูต้นทุนก่อนนะคะ

ยังไงจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกทีนะคะ

ท่านที่สนใจอย่าลืมทำแบบสอบถามกันนะคะ ไว้ใกล้ๆ วันงาน อาจจะมาเปิดพรีออเดอร์อีกทีค่ะ><

Fic FFXV Taste the feeling 01 [IgnisGladiolus]

Standard

Title : Taste the feeling
Chapter : 01
Fandom : Final Fantasy XV
Pairing : Ignis Scientia/Gladiolus Amicitia
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* ฟิคเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อเรื่องเกม เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น

กลาดิโอส่งเสียงฮัมตามจังหวะเพลงในลำคอ ศีรษะเจ้าตัวโยกไปย้ายมาราวตุ๊กตาตั้งโชว์หน้ารถ แต่ถึงอย่างนั้นสองตาและสมองก็ยังจดจ่ออยู่กับการมองถนนและสัญญาณไฟจราจร อันที่จริงให้หลับตาขับยังได้เลย ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่ยังวัยรุ่นเลยด้วยซ้ำ ไม่สิ… ตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กช่วยขนของนี่หว่า แต่ก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องเส้นทางต่างๆ ในอาณาจักรลูซิสน่ะเขาเชี่ยวชาญดี ตาสีอำพันมองอาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หลังกำแพงสูงซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายของวัน ล้อรถบดพื้นถนนที่ราดยางอย่างดีตรงเข้าย่านอุตสาหกรรม กลาดิโอลดกระจกข้างลงเมื่อถึงป้อมด้านหน้ารั้วบริษัท
“กลับมาแล้ว!” เอ่ยทักผู้ดูแลประตูที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ด้านหน้ารถ
“เหนื่อยหน่อยนะ!” อีกฝ่ายตอบกลับมาขณะสแกนทะเบียนรถเพื่อตรวจสอบ แม้จะรู้จักสนิทสนมกันแต่อย่างไรเสียก็ต้องทำตามกฎระเบียบของบริษัทอยู่ดี เมื่อเห็นว่าข้อมูลที่ปรากฏถูกต้องจึงกดเปิดรั้วให้ ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณแล้วขับรถเข้าด้านใน
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อกลับมาคือนำของไปเช็กสต็อกสินค้าที่เหลือว่าตรงกับในรายการหรือไม่ มือข้างหนึ่งหมุนพวงมาลัย ส่วนอีกข้างก็ขยับเปลี่ยนเกียร์อย่างคล่องแคล่วขณะถอยรถเข้าที่จอด ขายาวก้าวลงจากห้องโดยสารแล้วทำหน้าที่ของตนเช่นทุกวัน เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วว่าไม่มีสินค้าตัวไหนขาดเกินก็ถึงเวลาขนของกลับเข้าไปเก็บในโกดังใหญ่ รวบบรรดาแพ็กเนื้อลงบนรถเข็นรุ่นรับน้ำหนักได้มากแล้วลากมันลงจากรถเข้าห้องเก็บความเย็นของบริษัท กลาดิโอลัสเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ คงเพราะทำงานที่บริษัทขนส่งของสดเอรอสแห่งนี้ตั้งแต่ยังวัยรุ่นจึงชำนิชำนาญเป็นพิเศษ แม้อายุจะยังถือว่าไม่มากแต่เจ้าตัวมีประสบการณ์เหนือใครในกลุ่มคนงานวัยหนุ่ม ไม่นานนักของที่ต้องเก็บเข้าโกดังก็หมด ชายตัวใหญ่เท้าเอวพลางพ่นลมหายใจออกมา
“หมดซะที” พึมพำเบาๆ ขณะมองแสงไฟหน้ารถคันอื่นที่ขับตรงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ดูเหมือนคนอื่นก็ทยอยกลับมาแล้วเช่นกัน เสียงเครื่องยนต์ดับสนิทถูกกลบด้วยเสียงทักทายของคนขับรถรายอื่น
“ไง แกลดดี้ วันนี้มาถึงคนแรกเลยเรอะ”
“ใช่แล้ว!” ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มกว้างขณะปิดประตูห้องแช่เย็นที่มืดสนิท
“โอ๊ะ…” เหมือนจะนึกอะไรออก ร่างสูงใหญ่ถลันกลับเข้าไปในตู้ครู่หนึ่งแล้วกลับออกมาพร้อมห่อบางสิ่งที่เจ้าตัวมองตาเป็นประกาย
“สนใจไปต่อกันไหมเจ้าหนุ่ม” ผู้สูงวัยกว่าออกปากถามขณะยกของ คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ดีกว่า ไว้วันอื่นละกัน”
“น่าเสียดาย… แต่ก็ตามใจละกัน กลับดีๆ ล่ะ”
ชายหนุ่มรับคำพร้อมโบกมือลา สองขาก้าวตัดผ่านโกดังออกไปยังลานจอดรถของพนักงาน ตาสวยมองรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีแดงแซมเงินอย่างหลงใหล ลูกรักของเขา… กว่าจะเก็บเงินซื้อมาได้เลือดตาแทบกระเด็น มือกร้านลูบลูกชายเบาๆ ขาตวัดขึ้นคร่อมรถคันเก่งก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ท่อดังกระหึ่มพร้อมเสียงล้อบดถนนดังขึ้น สายลมตีพัดหน้าเบาๆ ชวนให้อารมณ์ดีไม่น้อย สแกนนิ้วที่ประตูทางออกของพนักงานเสร็จสรรพก็ตะบึงไปตามถนนใหญ่เช่นทุกวัน

วันนี้กลาดิโอลัสอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็เพราะได้ข้าวเย็นมาโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงอีกเช่นเคย ดีจังเลยนะ ได้ชิมเมนูก่อนที่จะเปิดขายเนี่ย กลีบปากได้รูปขยับยิ้มขยับบังคับแฮนด์รถให้เลี้ยวเข้าไปในซอย
ร้านสตูเพลเป็นร้านมีชื่อในย่านนี้ เมนูตามฤดูกาลของที่นั่นอร่อยอย่าบอกใครเชียว ตอนนี้เปลี่ยนมือมาเป็นอิกนิส ลูกชายคนเดียวของหัวหน้าเชฟ มือวางอันดับหนึ่งในการถูกลูกค้าเรียกตัวไปชมเชยในรสชาติ เปลี่ยนมานานแล้วแหละ ตอนนี้เจ้าแว่นนั่นคุมบังเหียนไว้ทั้งหมด แต่ก็ยังขยันกว่าใครไม่เปลี่ยน ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เวลาไปส่งของตอนเช้าจะต้องได้เจอหน้านิ่งๆ นั่นแต่เช้ามืด ทั้งที่เป็นลูกเจ้าของร้าน ซ้ำยังไม่ใช่หน้าที่ สั่งลูกจ้างให้มาดูวัตถุดิบยังได้ แต่ตลอดเวลาตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงตอนนี้อิกนิสก็ยังลงมาดูของเองตลอด

ตอนที่เจ้านั่นคิดเมนูใหม่ที่จะเอาลงร้าน เขาผู้นี้ กลาดิโอลัส อามิชิเทียมักเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรส ไม่ว่าจะเพราะให้เพื่อนที่ไว้ใจชิมลางก่อน หรืออะไรก็ตาม แม้จะต้องวิจารณ์รสชาติและถูกเค้นคอถามแม้กระทั่งว่าเนื้อสัมผัส กลิ่น สีสันเป็นเช่นไร อยากให้ทำอะไรเพิ่มไหม แต่แค่ได้ลิ้มรสอร่อยๆ ก็พอใจแล้ว จำได้ว่าเมนูแรกที่เป็นซี่โครงอบนั่นสุดยอดไปเลย ตอนนี้มันกลายเป็นเมนูแนะนำแล้วละ

ไม่กังขาเรื่องฝีมือการทำอาหารหรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในฐานะที่รู้จักมักจี่มานาน…  หมอนั่นเป็นคนแปลกๆ ไม่สิ ต้องพูดว่าเป็นพวกเพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ หัวจรดเท้าไม่เคยผิดเพี้ยนไปจากเดิมในทุกวัน ตั้งแต่รู้จักกันมาร่วมสิบปี ไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นในสภาพที่แตกต่างไปเลยนอกจากชุดทำครัว เสื้อขาว กางเกงขาวและหมวกสีขาว โอ๊ะ! เคยเห็นสิ ชุดนักเรียนไงล่ะ แต่ก็อืม… ไม่เห็นว่าจะแตกต่างจากชุดเชฟเท่าไหร่ ก็ในเมื่อเจ้าตัวยังคงทำหน้าเป็นแบบนั้น
ชายวัยยี่สิบปลายดับเครื่องยนต์พลางคิดสัพเพเหระเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้น ไม่ลืมหยิบถุงห่ออาหารที่ถูกยัดไว้ในห้องทำความเย็นจนกระทั่งเลิกงานออกจากกล่องเก็บของที่ติดตั้งไว้ด้านข้างตัวรถ ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปในตัวอาคารกลางเก่ากลางใหม่ รองเท้าหนังดำเปื้อนฝุ่นย่ำขึ้นบันไดพร้อมควงพวงกุญแจที่รวมทั้งกุญแจรถและกุญแจห้องไว้ด้วยกัน ถ้าหาย…ก็…นั่นแหละ
แกร๊ก!
เปิดประตูห้องไปพบความมืดและเงียบสงัด มือสัมผัสสวิตช์ไฟที่ข้างฝาพลางเดินเข้าห้อง สองเท้าสะบัดรองเท้าระเกะระกะหน้าประตูแล้วเขี่ยให้เข้าไปหลบมุม เมื่อกลับถึงห้องก็ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเช่นเคย กินข้าว อาบน้ำ อ่านหนังสือและเตรียมตัวนอน ห้องถูกความเงียบและมืดโอบล้อมอีกครั้งเมื่อไฟดับลง สายตาของกลาดิโอมองนาฬิกาบนผนังห้องแล้วขยับตัวเปลี่ยนท่า เรื่องนอนเร็วนี่น่าจะเป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่เขาสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ กลัวจะนอนไม่พอแล้วไปง่วงระหว่างขับรถ มันอันตรายต่อตัวเองและชีวิตของคนอื่น
แต่น่าแปลกที่วันนี้ข่มตานอนไม่หลับสักที เหมือนมีบางอย่างเกาะกุมจิตใจ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าคืออะไร เขารู้ดี เขาเหงา คิดถึงครอบครัว คิดถึงน้องสาว แต่ก็เพราะทำให้ตัวเองมาอยู่ในสภาพนี้เองจึงไม่อาจบ่นใครได้
ไว้ค่อยโทรไปหาก็แล้วกัน… เขาคิดพลางบังคับให้ตนจมสู่นิทราอย่างที่ควรจะเป็น
.

.

.

แต่จนแล้วจนรอด
“ฮ้า~ว” เสียงสูงกว่าปกติเล็ดลอดผ่านลำคอออกมา เรียกสายตาของลูกค้าสุดเฮี้ยบให้มองมาอย่างตำหนิเมื่ออีกฝ่ายหาวไม่ปิดปาก
“นายหาวมาหลายรอบแล้วนะ กลาดิโอลัส” อิกนิสพูดเสียงต่ำ ดวงตาใต้เลนส์ใสยังคงตรงมาที่เพื่อนตัวโตซึ่งยืนพิงผนังตู้ท่าทางง่วงงุน
“ด้วยหน้าที่ของนายแล้ว ฉันแนะนำให้ดื่มกาแฟและล้างหน้าล้างตาซะ” อีกฝ่ายครางรับเบาๆ ท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจฟังเพียงแค่รับคำที่เขาแนะเท่านั้น พ่อครัวใหญ่มุ่นคิ้วเข้าหากันสองแขนละออกจากสินค้ามากอดอกแทน วันนี้เพื่อนตัวใหญ่อาการไม่ค่อยดี ผิดแปลกไปจากทุกวัน ปกติจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมคำทักทายกวนอารมณ์นิดๆ แต่วันนี้กลับเปิดเข้ามาเฉื่อยๆ อย่างคนหมดเรี่ยวแรง
เพียะ!
คนง่วงงุนสะดุ้งเฮือกเมื่อต้นแขนแสบร้อนขึ้นมา ตาคมตวัดมองต้นเหตุของเสียงแหวกอากาศ มือถูรอยแดงนั่นปึ้ดๆ แล้วฉวยเถาสมุนไพรในมืออิกนิสมาถือเอง ใบสีเขียวเข้มร่วงหายไปเสียหลายใบซึ่งไอ้ใบพวกนั้นมันก็ติดอยู่ตรงแขนเขานี่แหละ
“ทำอะไรของนายเนี่ย มันแสบนะเว้ย” พอโวยวายใส่ คนตีก็ทำเพียงแค่ส่งเสียงหึในลำคอแล้วหันกลับไปเลือกของต่อ กลาดิโอลัสยัดสมุนไพรลงในรถเข็น ของเสียหายแล้ว อย่างไรเจ้าแว่นนี่ก็ต้องรับไป ฮึ่ม!
“จะได้ตื่นไง”
“ยุ่งน่า” ตอบกลับอย่างอดไม่ได้ พ่นลมหายใจหนักๆ แล้วยืนกอดอกพิงผนังตู้ตามเดิม คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันก่อนจะปิดเปลือกตาลง เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ… พลิกไปพลิกมาจนรำคาญตัวเอง เดี๋ยวสะดุ้งตื่นๆ น่าหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้
“กลาดิโอลัส” เสียงเรียบของลูกค้าหนุ่มลอยเข้ามาในหู
“หือ?”
“อยากดื่มกาแฟไหม?” เขาถามขึ้นด้วยมั่นใจว่าถ้าให้ไปหาดื่มเอง เจ้าเพื่อนยักษ์ปักหลั่นนี่ไม่น่าจะหาดื่มเพราะความขี้เกียจ
ฝ่ายถูกถามเงียบไปครู่ราวกับประมวลผลด้วยสมองที่วันนี้แรมต่ำกว่าปกติก่อนจะเอ่ย “…ถ้าพ่อครัวใหญ่จะกรุณาชงให้น่ะนะ” แล้วยักคิ้วให้เหมือนทุกครั้งที่ใช้สรรพนามแปลกๆ นั่นเรียกอิกนิส เจ้าของฉายาส่งสายตาดุน้อยๆ ใส่แต่ไม่ได้ว่าอะไร ชินกับการเรียกของกลาดิโอแล้วแม้จะไม่ค่อยชอบไอ้ฉายาพวกนั้นก็เถอะ
“ไว้ตอนคิดเงินแล้วกัน” พึมพำคนเดียวในขณะที่เจ้าตัวยืนทำตาปรือปรอยไม่เกรงใจลูกค้า นี่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมปลายหรอกนะถึงได้ไม่ว่าอะไร ทั้งเรื่องการแต่งตัวไร้ระเบียบอย่างการใส่ชุดหมีแค่ครึ่งตัวแล้วเอาแขนชุดมาผูกรอบเอวจนท่อนบนเหลือแค่เสื้อกล้าม แล้วยืนเฉยไม่สนใจจะเอาของใส่รถเข็นให้น่ะ ลองเป็นเจ้าอื่นมาทำแบบนี้สิได้ยกเลิกดีลเป็นแน่
ชายหนุ่มเจ้าระเบียบเดินเลือกของใส่รถเข็นจนครบตามที่ต้องการแล้วเดินตรงไปเตะต่ำปลุกเจ้าคนที่ทำท่าจะหลับกลางอากาศอยู่รอมร่อ นอนไม่พอนี่มันแย่จริงๆ ตอนยังเด็กไม่เคยรู้สึกแต่ตอนนี้มันเห็นผลชัดแล้วละ ยิ่งอายุมากร่างกายก็ยิ่งเสื่อมถอยสินะ กลาดิโอโอดในใจขณะเข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบ

โดยพื้นฐานแล้ว ร้านทั่วไปจะดีลมาเป็นลิสต์ที่ต้องการแล้วรอให้รถมาส่งให้เท่านั้น มีเพียงไม่กี่ร้านที่พ่อครัวจะลงมาเลือกเองแบบนี้ แต่จะมองว่าเพราะเจ้าของกิจการใส่ใจทุกรายละเอียดก็ได้ ก็หมอนี่ทำแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้วนี่
“หวานไหม?” เชฟผู้แปลงร่างเป็นบาริสต้าชั่วคราวถามขึ้นหลังจากเก็บของเข้าชั้นหมดแล้ว ใบหน้าคมสันเงยขึ้นจากการคำนวณราคาก่อนจะส่ายหน้า มองเห็นเขาเป็นคนชอบกินหวานรึยังไงล่ะเจ้านี่ อิกนิสหันกลับไปสาละวนกับเครื่องดื่มรสเข้มต่อ กลิ่นหอมกรุ่นลอยฟุ้งในห้องครัวสะอาดสะอ้าน ไม่นานนักกาแฟก็มาเสิร์ฟ
“เอ๊ะ?” ลูกค้าผู้ไม่เสียเงินสักแดงผงกหัวขึ้นทันควัน “แซนด์วิชด้วยเหรอ?” ที่ถามนี่คือเกรงใจ แค่กาแฟก็เกรงใจแล้ว แถมแซนด์วิชนี่ก็เป็นเมนูที่มีในร้านอยู่แล้วด้วย ไม่ใช่เมนูให้ลองชิม

“กินไป” อิกนิสพูดย้ำแล้วเดินหายเข้าไปในห้องทำงานเอกสารด้านหลังร้าน ทิ้งร่างสูงนั่งหยิบแซนด์วิชเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ กลิ่นหอมของขนมปังปิ้งและรสเค็มจางๆ ของแฮมโฮมเมดของร้านตัดกับรสเปรี้ยวหวานของครีมซอสเลมอนอวลในโพรงปาก ฮ่าห์… อร่อยจัง

แกร๊ก…

ไม่นานนักเจ้าของร้านกลับมาพร้อมห่อกระดาษในมือแล้วส่งให้คนส่งของร่างใหญ่ที่นั่งเคี้ยวหยับๆ อย่างสบายอารมณ์

“นับด้วยล่ะ”

“ออบอุน” พูดอู้อี้หลังจากยัดแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปาก ตาสีมรกตมองแก้มที่พองขึ้นขณะเคี้ยวของกลาดิโอลัส ว่าไป เวลาได้กินของที่ถูกใจมักจะเป็นแบบนี้เสมอ อย่างกับพวกสัตว์ตระกูลหนูที่เวลาเคี้ยวแล้วแก้มจะป่องเพราะอาหาร ตลก…

“ห้ามพูดตอนกิน แล้วก็รอก่อน อย่าเพิ่งไปล่ะ” แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ็ดเข้าให้ ปลายนิ้วเรียวที่ด้านจากการทำครัวยื่นออกมาชี้หน้าเป็นการออกคำสั่งกลายๆ

กลาดิโอลัสเหยียดตัวฟุบกับโต๊ะยาวสำหรับวางออเดอร์หลังจัดการมื้อเช้าเสร็จ เจ้าของร้านถอนหายใจก่อนจะหยิบจานและแก้วกาแฟไปล้าง แก้มครึ้มเคราแนบกับแผ่นไม้เย็นๆ ตาหรี่ลงมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่ยืนวุ่นอยู่หน้าเคาน์เตอร์ อิกนิสน่ะใจดี เป็นพวกปากร้ายใจดี ริมฝีปากขยับยิ้มช้าๆ พร้อมหนังตาที่เริ่มปิดลง แย่จริง… กาแฟไม่ช่วยเลยแฮะ

เชฟใหญ่ร้านสตูเพลสาละวนคั้นน้ำผลไม้รสเปรี้ยว เติมรสด้วยเกลือและน้ำผึ้งเล็กน้อย …เงียบผิดปกติ อิกนิสเหลียวหลังไปเจอร่างใหญ่ที่นอนฟุบไปเรียบร้อยแล้ว เสียงเขย่าน้ำแข็งในกระบอกเชคดังปลุกคนขี้เซาผิดปกติให้ตื่นขึ้นมา สองตาปรอยปรือจนเจ้าของร่างกายเองยังสงสัยว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับทำไมถึงมาหลับวันนี้ล่ะ ในตอนที่นั่งม่อยบ่นร่างกายตัวเองในใจนั่นเอง

กึก

“เอาไปด้วย” คนทำเสียงดังวางกระติกเก็บความเย็นตรงหน้า

“เยอะไปแล้ว ฉันเกรงใจนะ” กลาดิโอประท้วง มือใหญ่ยกขึ้นเกาหลังคอเบาๆ แก้เก้อ

“จะเกรงใจฉันหรือจะไปขับรถชนคนอื่นก่อน” ชายหนุ่มผู้เคร่งครัดเปรยเสียงเรียบ ฝ่ายถูกขู่กลายๆ ยกมือยอมแพ้ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เวลาทะเลาะกับพ่อทีไรเขาจะหนีมาหมกตัวอยู่กับอิกนิสตลอด ไม่ได้มาช่วยหยิบจับอะไรหรอก มานั่งคุยเล่นกับคนครัวคนอื่นต่างหาก แต่ทุกครั้งที่มา จะได้กินอาหารฝีมือเพื่อนคนนี้เสมอ เมื่อก่อนยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธจริงๆ จังๆ สักที ก็มันอร่อย… จะว่าเห็นแก่กินก็ได้แหละ

“งั้นไปละ เดี๋ยวล้างมาคืน” อิกนิสพยักเพยิดหน้ารับคำขณะยืนส่งหน้าประตูหลังร้าน

รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป หนุ่มแว่นทอดสายตาตามไปครู่หนึ่งก็พ่นลมหายใจออก เป็นห่วงสรรถภาพในการขับรถของหมอนั่นวันนี้จริงๆ ถอนหายใจอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าร้าน กังวลไปก็เท่านั้น คิดว่าน้ำวิตามินนั่นจะพอช่วยได้…ละมั้ง

ชายหนุ่มมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาใกล้เจ็ดโมงแล้ว มือเก็บกวาดเคาน์เตอร์ที่รกไปด้วยเปลือกผลไม้รสเปรี้ยว อีกไม่นานลูกจ้างคนอื่นก็จะมาแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะเก็บวัตถุดิบที่เอามาประเคนเพื่อนร่างบึ้กให้เรียบร้อย ร่างสมส่วนขยับไปมาอย่างคล่องแคล่วอย่างเคยชิน ใจประหวัดไปถึงคำว่าเกรงใจที่อีกฝ่ายว่า คบกันมาขนาดนี้แล้วไม่รู้จะเกรงใจไปอีกทำไม เขาเต็มใจที่จะทำอาหารให้กินอยู่แล้ว หมอนั่นก็รู้

“ซื่อบื้อจริง” พึมพำเบาๆ กับตัวเอง ไม่รู้ว่าหมายถึงกลาดิโอลัสที่กำลังสำลักน้ำผลไม้ที่รสชาติจัดจ้านจนต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาไม่หยุด หรือตัวเองที่ง่วนอยู่ในครัวกันแน่

แต่ที่รู้คือ

“เปรี้ยวเกินไปแล้ว! นี่มัน…ลงโทษกันชัดๆ…” กลาดิโอร้องโอดครวญหลังดื่มน้ำในกระติกไปอีกอึกหนึ่ง เผลอสำลักจนไอโคลกน้ำหูน้ำตาน้ำลายไหลย้อยลงถึงคาง วิตามินซีพุ่งปรี๊ดถึงก้านสมองทำเอาตาสว่าง แสบคอแสบจมูกไปหมดจนมั่นใจว่าตัวเองไม่หลับแน่ๆ ถึงจะรสชาติทำลายลิ้นผิดแปลกจากทุกเมนูที่เคยได้กินจากอิกนิส แต่มันก็บรรลุผลที่ทำให้ไม่หลับละนะ

 

…………………………..

สวัสดีค่ะ ทลายไหดองแล้ว หลังจากลงอินโทรมาประมาณสองเดือนได้

สำหรับเล่มนี้…ปกยังไม่เสร็จค่ะ 5555555555555 ตอนแรกพล็อตนี้เป็นแค่การหวีดของเรากับพี่ไหเนะเท่านั้น

แต่พอมีงานเกมก็เลยเขียนลงค่ะ แม้เพื่อนร่วมอุดมการณ์จะน้อยแต่ก็จะพิมพ์ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

เล่มนี้คงพิมพ์ไม่เยอะค่ะ เพราะน่าจะมีคนชิปน้อยจริงๆ 555555555555

ไว้ยังไงได้ปกแล้วจะเอาแบบฟอร์มสอบถามไม่ก็พรีออเดอร์มาแปะนะคะ

 

ปล.ตอนแรกจะลงเมื่อวานค่ะ… แต่มึนไปกดลบไฟล์ครึ่งหลังที่พิมพ์ในมือถือทิ้งเลยต้องมานั่งพิมพ์ใหม่orz

Fic Overwatch Flirt with you 01 #McHanzo

Standard

Title : Flirt with you
Chapter : 01
Fandom : Overwatch
Pairing :  Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม

แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you 


มนุษย์สามารถอดทนความเจ็บปวดได้ถึงเท่าไหร่กันนะ… ปัจจุบันในการแพทย์จะให้คนไข้ระบุด้วยความรู้สึกของตนเอง โดยใช้ ADL (Activities of Daily Living) เป็นเกณฑ์ แบ่งเป็นเลข 0 – 10 ซึ่งระดับ 10 คือความเจ็บที่ขัดขวางการดำเนินชีวิตประจำวันมากที่สุด หรือเจ็บจนไม่อาจดำเนินชีวิตประจำวันได้
แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าขึ้นอยู่กับความจิตวิสัยของแต่ละบุคคลมากกว่า… ดวงตาเรียวรีมองหญิงสาวหน้าสวยที่นอนครวญครางอยู่ตรงหน้า มือกร้านขยับเคลื่อนที่สร้างสัมผัสที่กระตุ้นเสียงร้องนั้น ท่ามกลางเสียงชวนสงสัยนั้นมีเสียงเบาๆ ของเครื่องมือที่กำลังทำงานอยู่
“ทนหน่อยนะครับ เพิ่งเริ่มเอง” ผู้กระทำพึมพำเสียงต่ำ มือยังคงสาละวนอยู่กับผิวเนียนนั้น ชายหนุ่มเลิกกระโปรงตัวสั้นขึ้นเพื่อความถนัดถนี่
“ฉันไม่คิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้” เธอพูดเจือเสียงร้อง ในขณะที่คนฟังยังคงทำหน้าที่ของตนต่อ
“อันที่จริง มันขึ้นอยู่กับระดับความไวต่อสัมผัสของแต่ละคนน่ะครับ คุณลูกค้าเพิ่งเคยทำครั้งแรกอาจจะไม่ชินเท่าไหร่”
“แล้วเคยมีคนที่ร้องไห้บ้างไหมคะ?” ดูเหมือนเธอจะต้องการเรียกความมั่นใจของตัวเองให้เพิ่มขึ้นด้วยการเปรียบเทียบกับคนอื่น
“ไม่หรอกครับ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย” เจ้าของร้านขยับปากตอบพร้อมขยับเครื่องมือเพื่อกำหนดขอบของลวดลายบนผิวหนังสีแทนของลูกค้าวัยรุ่น เธอยิ้มเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นความมั่นใจของตนแม้จะเป็นรอยยิ้มแหยๆ ก็ตามที
รอยสักเป็นการแต่งแต้มสีสันลงบนเรือนร่างและผิวหนัง ฮันโซหลงรักในสีสันและลวดลายที่ถูกสร้างขึ้น และถ่ายทอดมันออกมาเป็นรูปภาพ หยดหมึกที่ปลายเข็มสลักฝังสีรวมกันเป็นรูปร่าง สายตาจับจ้องไปที่ผิวเรียบตึงของลูกค้าสาวที่เริ่มปรากฏสีแดงของเลือดที่เกิดจากการถูกสัมผัสด้วยของแหลมเล็ก
การสักเพื่อผูกมัดยึดติดกับคนรักเป็นสิ่งหนึ่งที่วัยรุ่นบางส่วนเลือกทำในการแสดงออกซึ่งความรัก บางทีก็น่าสงสัยว่าถ้าเกิดเลิกรากันไปแล้วไม่คิดว่าจะรู้สึกแย่ที่มีสัญลักษณ์หรือชื่อของอีกฝ่ายถูกจดจำอยู่บนผิวหนังหรือไร แต่ความรักก็เป็นศิลปะเช่นกัน นิสัยใจคอและบุคลิกพื้นฐานก็เปรียบดั่งหยดหมึกหลากสีที่เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้วจะผสมผสานและแต่งแต้มผืนผ้าใบในหัวใจให้เป็นอย่างไร การมองวิธีถ่ายทอดความรักของผู้อื่นเป็นเรื่องขบขันอาจไม่เหมาะสมกับผู้เป็นศิลปินก็เป็นได้
หนุ่มเอเชียตระหนักเช่นนั้นขณะที่เดินเส้นกรอบตัวอักษร อักษรสากลอ่อนช้อยที่เด็กสาวจ้างให้เขาออกแบบถูกประทับลงบนผิวหนังของลูกค้าอย่างที่เธอต้องการ หลังจากพินิจแล้วว่าประณีตสมใจสาวตาน้ำข้าวก็ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ฝืดผืนไปบ้างเพราะความเจ็บบนต้นขามาให้
“สีและความคมชัดของรอยสักจะสวยหรือไม่สวยอยู่ที่การดูแลหลังจากนี้ด้วย เดี๋ยวจะทายาแล้วปิดผ้าพันแผลแบบใสให้” เสียงต่ำแหบอธิบายช้าๆ พร้อมนำแผ่นพับข้อมูลการดูแลรอยสักที่ออกแบบเองส่งให้ “รอสักสามถึงสี่ชั่วโมงค่อยแกะออกแล้วล้างด้วยน้ำอุ่นผสมสบู่ป้องกันแบคทีเรียแบบอ่อนๆ แล้วซับให้แห้งนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ไว้รอยสักแห้งสวยเมื่อไหร่จะเอามาอวดนะ” เธอว่าเช่นนั้นพลางขยับตัวลงจากเก้าอี้ยาวที่นอนอยู่ สองขายาวก้าวนำไปที่เคาน์เตอร์คิดเงินขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
“ไว้โอกาสหน้ามาใช้บริการอีกนะครับ” ฮันโซขยับส่งรอยยิ้มให้เด็กวัยรุ่นตรงหน้าหลังได้รับเงินแล้ว ลูกค้าสาวขยิบตาให้ก่อนจะเดินออกจากร้านไปด้วยท่าทางมั่นใจราวกับว่าไม่เคยแสดงท่าทีเจ็บมาก่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองตามเธอจนหายลับตาก่อนจะจัดการล็อกเครื่องคิดเงิน
เจ้าของร้าน Scatter เลื่อนเก้่าอี้โต๊ะทำงานที่อยู่ติดกับเคาน์เตอร์คิดเงินออกมานั่ง ดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานแล้วหยิบกองกระดาษและลิสต์รายชื่อคนที่จ้างออกแบบลายสักออกมา ชายญี่ปุ่นขยับข้อมือตวัดดินสอไม้คู่ใจสร้างลวดลายบนแผ่นกระดาษขาวนวล เคยได้ยินคนต่างชาติพูดว่า การวาดรูปราวกับอยู่ในสายเลือดของคนญี่ปุ่น เพราะแม้ไม่ใช่ศิลปินก็วาดรูปสวย เรื่องนี้มันจริงรึเปล่า เขาเองก็ไม่รู้หรอก อย่างไรเสียถึงมีพรสวรรค์แต่ไม่หมั่นลับฝีมือ สิ่งที่มีก็ไร้ค่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ
เสียงขูดขีดของดินสอดังแว่วเบาๆ ในความเงียบ รายได้หลักของฮันโซเป็นการออกแบบลายต่างๆ ไม่ว่าจะรอยสัก ภาพสีพ่นบนฝาผนัง หรือแม้กระทั่งโลโก้ต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วเขามีความชอบทางศิลปะ และมองรอยสักเป็นการถ่ายทอดมันออกมาจึงยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพหลัก โดยพื้นเพของเขาเองเป็นคนญี่ปุ่นในตระกูลหนึ่งที่มีอำนาจในประเทศของตน แต่เพราะหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างมาที่นี่
เริ่มจากน้องชายผู้ทำตัวเหลวไปไหลมาวัยยี่สิบต้นๆ ร้องงอแงเรื่องการที่ต้องเข้าทำงานในบริษัทของที่บ้านเมื่อเรียนจบ ในตอนนั้น ตัวเขาเองเพิ่งจะเข้าบริหารงานเต็มตัวได้ไม่นานหลังจากบิดาเสียและกลายเป็นว่าต้องกลายเป็นหัวหอกหลักในการดำเนินการพัฒนาองค์กรในเรื่องต่างๆ ตอนแรกที่เจ้าเก็นจิงอแงยังไม่เท่าไหร่ แต่เจ้านั่นน่ะดันไปทำเรื่องใหญ่โตให้ต้องตามล้างตามเช็ด เสียชื่อตระกูลจนพวกคนเก่าแก่ของชิมาดะมากดดันให้เขาไปจัดการ จำได้แค่ว่าตอนนั้นทะเลาะกันบ้านแทบแตก ลงไม้ลงมือกันจนเลือดตกยางออก แล้วกลายเป็นว่าไอ้น้องชายดันเปิดแน่บให้ตัวไปจากบ้าน ทิ้งไว้แค่โน้ตแผ่นเล็กๆ ว่าจะมาที่อเมริกา ดินแดนแห่งอิสรภาพในอุดมคติ… ไม่รู้ป่านนี้นอนร้องไห้ภาพแห่งอิสรภาพแตกสลายไปแล้วกี่รอบ ความคิดเด็กๆ นั่นน่ะในตอนนั้นตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก ไม่แน่ใจว่าเพราะหน้าที่ที่มันค้ำคออยู่บนบ่าหรือเปล่า มันถึงได้ดูเพ้อฝันเหลือเกิน แต่ดูตอนนี้สิ…
จุดเปลี่ยนที่น่าอึดอัดในตระกูล หุ้นของบริษัทที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และความคาดหวัังต่างๆ ที่ประเดประดังมา ในตอนนั้นเอง…ชิมาดะ ฮันโซตัดสินใจขายหุ้นในส่วนของตัวเองทิ้ง แล้วหอบเงินก้อนนั้นพร้อมทรัพย์สินส่วนตัวมาที่สถานที่เพ้อฝันที่ว่า จะว่าหนีจากภาระและละทิ้งหน้าที่ก็ได้ แต่ด้วยสถานการณ์นั้นที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นแล้ว มีเพียงเขาที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดคนเดียว… ไม่มีเจ้าน้องชายคนแสบที่คอยมาอ้อร้อดังเช่นช่วงวัยรุ่น มันน่าเบื่อนะการอยู่คนเดียวแบบนั้น…
อันที่จริงหากต้องการพาตัวเก็นจิกลับมาใช้สายของชิมาดะหิ้วกลับมาก็ได้ แต่อิสรภาพที่เจ้านั่นพูดถึงบ่อยๆ น่ะ มันก็น่าสนใจดี เขาก็เลยทำเพียงติดตามข่าวสารการเป็นอยู่เท่านั้น พอลงจาบัลลังก์แล้วอำนาจที่เคยสั่งการคนเหล่านั้นได้ก็หมดไป ลืมคิดเรื่องการติดต่อกับเก็นจิไปซะสนิท เจ้าตัวชะงักมือไปครู่หนึ่งเมื่อคิดถึงเรื่องพวกนั้น จมูกโด่งถอนหายใจพรืดเม้มปากน้อยๆ พลางขบกัดกระพุ้งแก้มเบาๆ แต่มาอยู่ที่นี่ก็ยังหาตัวเจ้าแสบนั่นไม่เจอ
อันที่จริงคือ… ไม่มีเวลาตามหา เพราะเอาแต่ทำงานและทำงาน ถึงเวลาปิดร้านก็นั่งดูข่าว อ่านหนังสือ นอนพักสายตา และจิบชาอย่างเอื่อยเฉื่อย ข่าวล่าสุดที่หามาได้ก่อนละทิ้งทุกอย่างคือ น้องชายคนดีตั้งหลักปักฐานอยู่ในรัฐนี้ แต่มันก็สามปีมาแล้ว… ไม่ใช่ว่าทำตัวเอ้อระเหยลอยชายย้ายไปรัฐอื่นแล้วเรอะ
กรุ๊งกริ๊ง…
เสียงกระดิ่งที่ติดไว้เหนือบานประตูส่งเสียงแหลมใสดึงสติเจ้าของร้าน ดวงตาเรียวตี่ละสายตาจากแผ่นกระดาษไปยังร่างของชายสูงวัยคนหนึ่ง สองขานั้นค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาด้วยท่าทางคุ้นตา
“ว่าไง ฮันโซ” ไรฮาร์ตเอ่ยทัก
“สวัสดี ไรฮาร์ต” เจ้าของชื่อลุกไปยกเก้าอี้มาให้แขกยามบ่ายนั่ง ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเขา
“ทำงานอยู่รึเจ้าหนุ่ม เคร่งเครียดซะจริง”
“อ่า… งานก็คือเงินน่ะ” ตอบพึมพำขณะรินน้ำร้อนใส่กาดินเผา ได้ยินเสียงร้องโฮ่จากชายเยอรมันเบาๆ
ฮันโซจัดการเก็บกวาดกองกระดาษที่ร่างเส้นยุ่งเหยิงลงในลิ้นชักดังเดิม แล้วดึงเอากระดานหมากรุกออกมาแทนที่ กิจวัตรประจำวันอีกอย่างหนึ่งของเขาคือการดื่มชายามบ่ายแก่ๆ พร้อมเล่นหมากรุกฝรั่งไปด้วย นิ้วมือด้านขยับวางตัวหมากของแต่ละฝ่ายอย่างคล่องแคล่วขณะรอให้ชาในกาได้ที่
“ฉันว่าเธอจริงจังกับการทำงานไปหน่อยนะ ไม่เครียดบ้างเหรอ”
“ไม่นะครับ อันที่จริง แค่เล่นหมากรุกนี่ก็ช่วยคลายเครียดแล้วละ”
หนุ่มญี่ปุ่นเดินกลับไปยกถาดน้ำชามาเสิร์ฟที่โต๊ะ กลิ่นหอมของชาร้อนอวลในร้านสักเล็กๆ แม้จะไม่เข้ากันเท่าไหร่ แต่มันก็สบายใจดี
“ชานี่ได้กลิ่นทีไรก็ผ่อนคลายทุกทีเลยนะ ปกติที่ประเทศฉันจะดื่มเบียร์แทนน้ำ”
ฮันโซไม่ได้ตอบอะไร เขาจ้องมองหมากบนกระดานก่อนจะเลือกเดินหมากฝั่งตน
“…ขนาดเล่นหมากกระดานยังดูซีเรียสเลยนะ ไม่ลองไปผ่อนคลายที่ร้านฉันมั่งล่ะ” ไรฮาร์ตเอ่ยถามขณะมองหนุ่มตาตี่นั่งลูบเคราเคร่งเครียด
“ไม่ชอบเสียงดัง… มันหนวกหู น่าหงุดหงิด”
“โว้วๆ ไม่เอาน่า อย่าพูดเหมือนคนที่ไปเที่ยวร้านฉันเป็นพวกขี้เมาปากเปราะสิ”
“ไม่ได้ว่าลูกค้าคุณ เพียงแค่ผมไม่ชอบที่ที่วุ่นวายเท่านั้นเอง” ฮันโซว่าหลังจากวางหมากในจุดที่ตนมองเห็นชัยชนะแล้ว ชายมากประสบการณ์ขยับยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นปลาเข้ามางับเบ็ด
“งั้นลองแวะไปร้านฉันบ้างสิ เผื่อนายจะเจออะไรน่าสนใจ” เขาหยิบหมากตัวเป้าหมายวางตึงลงบนกระดาน “รุกฆาต”
ฝ่ายพ่ายแพ้นั่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “โอเค ไว้ผมจะลองแวะไป” คนเด็กกว่ายอมตอบรับอย่างช่วยไม่ได้
มีคนทักบ่อยเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ค่อยเที่ยวเลย ก็พอจะรู้ว่ารูปลักษณ์ภาพนอกเขาตอนนี้มันไม่เหมือนพวกคนติดบ้านเท่าไหร่ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ ก็คนมันไม่ชอบคนพลุ่กพล่านจะให้ทำยังไงล่ะ

“ไม่เอาน่ะ เจ้าหนู คิ้วผูกโบว์จนจะชนกับหมุดที่เจาะสันจมูกแล้วนั่น” ไรฮาร์ตเป็นคนแรกๆ ในย่านนี้ที่มาทักทายเขาเมื่อเห็นว่าโฮมทาวน์ขนาดเล็กนี้ถูกจัดสรรปันส่วนเป็นกึ่งบ้านพักและร้านรอยสัก บางทีอาจจะเล็งให้ไปเป็นลูกค้าของร้านก็ได้ใครจะรู้ แต่เอาเข้าจริงฮันโซก็รู้ว่าชายสูงวัยคนนี้เพียงแค่หวังดีกับเด็กคราวลูกที่เป็นคนต่างเชื้อต่างชาติในดินแดนนี้เท่านั้น เพราะตัวเขาเองก็คงจะเคยอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก่อนละมั้ง
เจ้าหนูวัยสามสิบปลายๆ มองหน้าเปื้อนรอยยิ้มของแขกผู้ใหญ่ใจดีแล้วผ่อนอาการเกร็งที่หัวคิ้ว สองมือรวบตัวหมากที่วางระเกะระกะให้กลับเข้าฟอร์มตามเดิม
“อีกตาแล้วกัน ก่อนคุณจะกลับไปดูแลร้าน”
.
.
.
หลังจากสลับป้ายหน้าร้านว่าปิด และเช็กความเรียบร้อยทุกซอกทุกมุมทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองแล้ว ฮันโซก็ล็อกประตูจากด้านนอกแล้วยัดกุญแจลงกระเป๋า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ตลอดสามปี นอกจากไปซื้อของแล้วก็แทบจะไม่ออกจากบ้านเลย เริ่มรู้สึกว่าทำตัวเป็นฮิคิโคโมริก็ตอนนี้แหละ สองมือซุกเข้ากระเป๋าเสื้อฮู้ดสีเข้มขณะเดินเชื่องช้าไปตามฟุตพาท แสงไฟตามร้านรวงต่างๆ สว่างหลากสีให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนกลางวัน ปกติฮันโซปิดร้านราวๆ สองทุ่ม เพราะเน้นงานออกแบบมากกว่ารับสักลูกค้ารายจรจึงถือว่าปิดเร็วกว่าร้านทั่วไปในย่านนี้
ก้าวขายาวๆ ได้เกือบสิบนาทีก็มองเห็นป้ายร้านที่ไรฮาร์ตสาธยายเอาไว้ ป้ายไม้สลักอย่างงาทงดถูกประดับด้วยไฟนีออนหลากสี ที่เด่นที่สุดคงจะไม่พ้นมาสคอตคุณลุงกล้ามโตยกแก้วเบียร์พร้อมรอยยิ้มกว้าง นั่นมัน…เอาตัวเองมาเป็นมาสคอตร้านเรอะ? ชายหนุ่มผู้เติบโตมาในประเทศที่ต้องกักเก็บความเป็นตัวเองไว้ยืนตะลึงไปครู่หนึ่ง ชั่งใจว่าจะเข้าไปในร้านดีไหม แต่ฝ่ายชวนเป็นผู้ใหญ่ ซ้ำยังแก่กว่าเป็นรอบ ที่ปฏิเสธไปเป็นร้อยครั้งนั้นก็เสียมารยาทเช่นกันแต่ครั้งนี้เขาตกปากรับคำแล้วว่าจะมา อย่างไรก็คงต้องเข้าไป อย่างน้อยก็ไปทักทาย…ให้รับรู้ว่ามาแล้วละกัน
ชายหนุ่มชาวเอเชียสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้าและสะกดกลั้นความรู้สึกหงุดหงิดที่น่าจะก่อตัวในไม่ช้านี้ มือข้างหนึ่งยื่นออกไปดันประตูร้านให้เปิดออก กลิ่นควันบุหรี่และแอลกอฮอล์ลอยฟุ้งเข้ามาแตะจมูก พร้อมกับเสียงกระหึ่มของดนตรีและผู้คน ร้านมืดสลัวแต่มองเห็นได้รางๆ ด้วยไฟหลากสีที่ฉายเวียนไปวนมาจนน่าปวดหัว ริมฝีปากที่ติดจะบึ้งตึงอยู่แล้วยิ่งคว่ำงอลงไปใหญ่ เป็นร้านแบบที่เกลียดที่สุดซะด้วย… เจ้าตัวก้าวตรงดิ่งไปหาพนักงานสาวที่เดินเสิร์ฟเครื่องดื่มตามออเดอร์อย่างขะมักเขม้น
“ไรฮาร์ตอยู่ไหม?”
“บอสเหรอ… น่าจะอยู่ชั้นสองนะ” เธอตอบพร้อมเพยิดหน้าไปที่บันไดทางขึ้นชั้นบน ฮันโซกล่าวขอบคุณแล้วเดินไปทิศที่เธอว่า เสียงร้องเฮดังลั่นในตอนที่เท้าก้าวเหยียบพื้นชั้นที่สองดึงดูดสายตาของแขกผู้เคยย่างก้าวเข้ามาได้เป็นอย่างดี
ร่างกายสูงใหญ่อย่างคนสุขภาพดีแม้จะสูงอายุแล้วของไรฮาร์ตเด่นเป็นสง่าอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น ตาเฒ่าท่าทางใจดีเมื่อบ่ายกลายร่างเป็นคุณลุงขาเหล้าเสียแล้ว ในมือเจ้าตัวจับแก้วเบียร์ยกอึกๆ แล้วส่งเสียง ‘ฮ่าห์!!’ เสียงดัง ดื่มได้น่าอร่อยสมกับเป็นมาสคอตร้าน ชายหนุ่มคิดในใจขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้

“โอ้ เจ้าหนูฮันโซ! มานี่สิๆ” เจ้าของร้านร้องทักเมื่อละสายตาจากโถเบียร์บนโต๊ะ เสียงดังก้องของเจ้าตัวทำเอาลูกค้าคนอื่นมองตามมา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงกระเดาะลิ้นออกไป

“อืม แวะมาตามสัญญาแล้ว กลับละ” ตอบเสียงเอื่อยไม่เกรงใจคนชวน ทำเอาคนชวนต้องรีบลุกขึ้นมาโอบไหล่ลากมานั่งแหมะบนเก้าอี้เสียก่อน ฮันโซขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อโดนลูกค้าคนอื่นมองมาอย่างสัยสัยใคร่รู้ ชายหนุ่มเบะปากนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้ยินเหมือนคนอายุมากกว่าจะสั่งเบียร์มาให้เขา

ขณะที่นั่งทำตัวราวกับเด็กถูกพ่อแม่ลากมางานกินเลี้ยงเจ้าตัวก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ปลายแหลมสีเงินที่สะท้อนกับแสงไฟและก้านจับสีดำสนิทหลายด้ามวางทิ้งระเกะระกะอยู่บนโต๊ะตัวเล็กไม่ไกลนัก เมื่อไล่มองไปก็พบกับกระดานปาเป้าติดประดับบนฝาผนัง

“โฮะโฮ่ ชอบปาลูกดอกเรอะ?!” เจ้าถิ่นถามเมื่อเห็นคนไม่สนอะไรมองเกมกระดานตาไม่กะพริบ

“ก็…นิดหน่อย”

“อยากเล่นไหม? แต่อาจจะมีคู่แข่งนิดหน่อย แล้วก็…อืม… นายอาจจะไม่ชอบ แต่คงต้องลงเงินพนันด้วยน่ะนะ มันเป็นกติกาในร้านฉันน่ะ”

“ร้านคุณเป็นแหล่งมั่วสุมจริงๆ สินะ” ฮันโซได้ทีแขวะคนอายุราวพ่อก่อนจะเอ่ยปากต่อ “แต่ก็น่าสนใจดี”

“…คือนายจะเล่น? ใช่ไหมเจ้าหนู?” ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“อืม” ตอบรับหลังจากดื่มแอลกอฮอล์รสขมปร่า ปกติฮันโซไม่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของโลกตะวันตกเพราะกลิ่นและรสชาติไม่ถูกปากเท่าไหร่ แต่จะเรื่องมากกับของฟรีก็ใช่ที่ แถม…จะร้องขอสาเกจากร้านชาวยุโรปก็คงไม่มีให้อยู่ดี เสียงสั่งการให้เปิดพื้นที่วางเงินและพื้นที่แข่งปาลูกดอกของไรฮาร์ต

ไม่นานนัก จากแขกผู้มาเยือนที่หมายมั่นจะมาพบหน้าเจ้าของร้านกลับกลายเป็นผู้เอ่ยปากขอเปิดแข่งปาลูกดอกกินเงินจนได้ จมูกโด่งสูดอากาศเจือกลิ่นเหม็นไหม้ของบุหรี่แล้วพ่นออกมาเบาๆ สองมือถูไปมาก่อนจะประสานบีบแน่นเพื่อควบคุมสติของตน ตาเรียวหรี่ลงมองกระดานสีดำขาวสลับสีอย่างมุ่งมั่น เอื้อมมือไปหยิบลูกดอกบนโต๊ะขึ้นมา ปลายนิ้วสัมผัสกับตัวถังลูกดอกเย็นเยียบก่อนจะขว้างมันออกไป ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นดังกว่าปกติและเสียงกระแทกของหัวลูกดอกกับกระดาน

กึง!

“ซิงเกิลบูล!”

“ไรฮาร์ต เจ้านี่มันใครเนี่ย!”

“บ้าน่า”

“เจสซี่อยู่ไหน!?”

ทันทีที่มองเห็นคะแนนของตนเสียงรอบข้างก็เริ่มแว่วเข้ามา มีทั้งเสียงอุทานและตะโกนถามหาใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก ดีกว่าที่คาดหวังไว้แต่ยังประมาทไม่ได้ ถ้าสมาธิหลุดอาจจะแพ้ก็ได้ เมื่อกี้เขาลงฝั่งตัวเองไปสิบเหรียญ ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีคนลงฝั่งตัวเองไหม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องชนะให้ได้ ตระกูลชิมาดะไม่เคยแพ้ใคร!

ผู้เริ่มเปิดกระดานก้าวถอยให้คู่ต่อสู้เข้าไปยืน ณ จุดปาลูกดอก สมองก็ครุ่นคิดเวียนไปวนมาว่าจะตั้งคะแนนไว้ที่เท่าไหร่ดี ในเมื่อแข่งกันสามดอก ดอกสุดท้ายคือการตัดสิน ได้ยินเสียงกระแทกดังกึงอีกครั้งแต่สติของฮันโซไม่ได้จดจ่อกับคะแนนของคู่ต่อสู้ คะแนนจะต้องดีกว่าเดิม ดีกว่าตาที่แล้ว สองขาขยับยืนท่าที่คุ้นชิน มือข้างที่สัมผัสลูกดอกค้างนิ่งในท่าเตรียมขว้างก่อนจะส่งแรงทั้งหมดออกไป สายตารีบมองและคำนวณคะแนนในใจ ทริปเปิลริง ช่อง 10 แต้ม เท่ากับ 30 แต้ม… คะแนนรวมตอนนี้ 55 แต้ม

“เช็ดเด้!!! หมดตูดแน่ตู”

“ไอ้เด็กใหม่นี่!!! โว้ยยยยยย เงินข้า”

อันที่จริงเกมปาลูกดอกไม่ใช่สิ่งที่ฮันโซถนัด มันไม่เหมือนการยิงธนูที่นับคะแนนจากการเล็งเข้ากลางเป้า เกมปาลูกดอกมีตำแหน่งคะแนนที่ยากกว่านั้น การขว้างให้เข้าบูลไม่ใช่เรื่องยาก แต่การให้ได้คะแนนมากกว่านั้นต่างหากที่ยาก เขาขว้างลูกดอกออกไป น้ำหนักของวัตถุหายไปจากปลายนิ้วและ กึง! ช่อง 20 แต้ม ถึงจะใกล้ช่องดับเบิลริงอย่างไร แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ตามที่คาดหวัง อย่างไรเสียก็ถือว่าพลาดเป้าในสายตาฮันโซ แต่ในสายตาคนอื่นนั้นไม่ใช่ รอบนี้เด็กใหม่ของร้านจึงได้รับเงินไปเหนาะๆ ด้วยคะแนนรวม 75 แต้ม

“ไม่ยักรู้ว่านายถนัดด้านนี้” ไรฮาร์ตผู้ลงฝั่งฮันโซเพราะความสนิทสนมเอ่ยถามขณะส่งแบงก์ให้อีกฝ่าย คนเด็กกว่ายักไหล่เป็นเชิงว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องบอกนี่

“เฮ้ นาย อีกรอบได้ไหม น่าสนใจดีนี่” ฮันโซหันไปตามเสียงทักก่อนจะพยักหน้าตกลง อย่างไรเสีย ขอแค่ชนะก็พอ อีกอย่างถึงแพ้รอบนี้ก็คงไม่เสียอะไรเท่าไหร่ในเมื่อได้มาขนาดนี้แล้ว ในขณะที่กำลังจะเริ่มปาเริ่มที่สองก็ได้ยินเสียงร้องเรียกเจ้าหมอนั่นที่ไม่รู้จักดังแว่วมาอีกรอบ

“เฮ้ เจสซี่! มาดูไอ้หมอนี่สิ แม่นอย่างกับจับวางแน่ะ พอๆ กับนายเลยนะ”

ใครกันล่ะ เจสซี่ที่ว่านั่น? ได้เพียงแต่คิดในใจคนเดียว แล้วทิ้งความสงสัยไปพร้อมกับลูกดอกที่พุ่งออกไป เสียงตะโกนไม่ได้ศัพท์ของผู้ที่ลงฝั่งตรงข้ามดังกระแทกหู อ่า…เสียงดังกันจริงๆ แฮะ จบเกมแล้วกลับบ้านดีกว่า วิญญาณแมวขี้เซาเริ่มกลับเข้าร่างอีกครั้ง เหลือการปาอีกครั้งเดียวเท่านั้น

กึง! คะแนนของอีกฝ่ายสูสีกับเขาพอตัว เมื่อกี้เขาได้บูล และคาดหวังว่าการปาครั้งต่อไปจะได้คะแนนมากกว่านั้น สองขาก้าวเข้าจุดปาลูกดอกพร้อมหายใจเข้าเพื่อเรียกสติ จับลูกดอกให้มั่นแล้ว…

“ฮาย เบบี๋” เสียงกระซิบข้างหูนั่นทำให้แรงเหวี่ยงที่ควรจะเป็นลดลง ปลายลูกดอกทังสเตนกระแทกเข้าที่ช่องสีขาวด้านข้างช่องคะแนน 20 แต้ม

“…”

Shit!

สายตาตวัดไปมองตัวการที่ไม่คุ้นตา ใคร…? ดวงตาสีน้ำตาลเข้มประกายแววขี้เล่นสนุกสนานชวนหงุดหงิด ในขณะที่ริมฝีปากนั่นเหยียดยิ้มกวนประสาท คิ้วของฮันโซขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ก่อกวนโอบไหล่ให้หลีกทางให้คู่แข่ง

“ไร้มารยาท…”

 

……………………………..

กลับมาลงแล้วค่ะ หลังจากโดนมรสุมงานที่บริษัทและที่บ้านทับตาย 55555555555

ใครที่ตามทวิตเราจะเห็นได้ว่าเรามีแต่รีทวิต นานๆ จะมาหวีดตามปกติ

เนื่องจากไม่แน่ใจว่าชีวิตจะงานเยอะอีกไหม เลยแปะแบบสอบถามความสนใจไว้ทางด้านบนตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ

ในส่วนของรายละเอียดคะแนนกระดานปาเป้าจะมีเป็นฟุตโน้ตในเล่ม และอิกกลา…กำลังกระดึ้บเขียนเช่นเคยค่ะTvT

Fic FFXV Taste the feeling 00 [IgnisGladiolus]

Standard

Title : Taste the feeling
Chapter : Intro
Fandom : Final Fantasy XV
Pairing : Ignis Scientia/Gladiolus Amicitia
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* ฟิคเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อเรื่องเกม เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น

เสียงใบมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะเสนาะหู หัวมันฝรั่งถูกหั่นเป็นแท่งด้วยฝีมือหัวหน้าเชฟประจำร้านผู้รักความเป็นระเบียบและความเพอร์เฟกต์เป็นที่สุด แม้จะมีเครื่องทุ่นแรงอย่างที่หั่นมันฝรั่งแบบครั้งเดียวจบแต่เขาเป็นพวกชอบลงมือทำเองมากกว่า บนเคาน์เตอร์ทำครัวตรงหน้าชายหนุ่มวัตถุดิบมากมายวางเกลื่อนอย่างละนิดละหน่อย ดวงตาใต้เลนส์แว่นเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังแวบหนึ่งแล้วลงมือจัดการเมนูตรงหน้าต่อ
หลังรับตำแหน่งหัวหน้าเชฟราวหนึ่งปีต่อจากบิดาในการดูแลร้านสตูเพลซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลการสร้างสรรค์เมนูใหม่เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของเขารองจากการคุมมาตรฐานของเชฟคนอื่นๆ เช่นกัน แต่เพราะอยากปรุงให้ออกมาถูกใจที่สุดก่อนจะเสนอให้คนอื่นลองชิมเลยเลือกเข้าร้านแต่เช้ามืดเพื่อทดลองทำคนเดียว
อิกนิสขยับตัวออกจากหน้าเคาน์เตอร์ไปยังเตาอบที่ส่งเสียงเตือนอยู่ไม่ไกล กลิ่นเนื้อส่วนซี่โครงของดูออลฮอร์นหอมฉุยไปทั่ว ขณะที่กำลังยกถาดอบออกจากตู้นั้นเสียงกริ่งของประตูหลังร้านก็ดังขึ้นมาหนหนึ่งก่อนจะเปิดผ่างออกโดยไม่รอคำอนุญาตใดๆ
“วัตถุดิบสดใหม่มาส่งแล้ว” เสียงแหบห้าวเอ่ยเช่นนั้นพร้อมเครื่องบันทึกรายการสินค้าในมือ ร่างสูงพิงกรอบประตูอย่างที่ทำเป็นกิจวัตร
“นายควรรอให้ฉันไปเปิด กลาดิโอลัส” เจ้าของครัวตำหนิเช่นนั้นเหมือนทุกครั้งพลางคีบเอาเนื้ออบออกจากถาด
“แต่มือนายไม่ว่างนี่” แล้วอีกฝ่ายก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มยียวนเช่นเดิม อิกนิสมองนิ่งแล้วละมือจากการตระเตรียมอาหาร
“วันนี้มีอะไรมาบ้างล่ะ”
“ไปเลือกเองเลยพ่อครัวใหญ่”
ชายหนุ่มเดินตามออกไปนอกร้านเพื่อไปดูของสดที่กลาดิโอลัสบรรทุกมาในคอนเทนเนอร์ทำความเย็นขนาดกลาง บรรดาผักและเครื่องเทศแต่ละท้องถิ่นเรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนชั้นวาง ส่วนเนื้อต่างๆ ก็แยกประเภทอยู่ในตู้แช่ คนเจ้าระเบียบหรี่ตามองไปทั่วเมื่อตรวจสอบความสะอาดอีกครั้งแม้จะมั่นใจในบริษัทของพ่อค้าคนกลางแห่งนี้ก็ตาม
อิกนิสเปิดตู้แช่แล้วหยิบเนื้อออกมาทีละแพ็กยืนคัดสรรอย่างพิถีพิถันจนพอใจแล้วละออกไปเลือกเครื่องเทศ เจ้าของรถส่งของลากรถเข็นคันเล็กโกยของใส่แล้วเดินตามพลางกรอกจำนวนสินค้าลงไป ท่ามกลางอุณหภูมิต่ำที่กลบความเงียบด้วยเสียงเครื่องปรับอุณหภูมิทำงานทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันเลย ต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขันแข็ง
อันที่จริงนั่นเพราะกลาดิโอรู้ดีว่าเวลาที่อิกนิสเลือกวัตถุดิบอย่าคิดไปก่อกวนเด็ดขาด อาจจะโดนมองด้วยสายตาเชือดเฉือนกว่าปกติและคำด่าที่แสบร้อนยิ่งกว่าเครื่องเทศทั้งโลกนี้รวมกัน แต่ปกติเจ้าแว่นนี่ไม่ใช่คนปากร้ายอะไร… ก็แค่…เจ้าระเบียบไปหน่อย ก็เลยจู้จี้บ้าง…ละมั้ง เจ้าตัวคิดขณะยกปากกาด้ามเล็กขึ้นกดกับคางตัวเองพลางกัดกระพุ้งแก้มตัวเองเบาๆ สายตามองตามมือขาวที่เคลื่อนที่จับสินค้าตรงนั้นทีตรงนี้ที
“กลาดิโอ…”
“ว่า?” ละสายตาจากมือขึ้นมายังดวงตาใต้เลนส์สีใสแทน คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม
“กินอะไรมารึยัง?”
“…ฮะ?” คำถามไม่คุ้นหูทำให้ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะตอบกลับด้วยการส่ายหน้า ฝ่ายคนเอ่ยปากถามกลับไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่พยักหน้าพร้อมกับก้มหน้าก้มตาลงเลือกเครื่องปรุงต่อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเจ้าคนโดนถามก็เป็นฝ่ายออกปากเอง “นายจะชวนฉันกินข้าวเหรอ อิกนิส”
“…ไม่เชิง นายสนใจไหมล่ะ?”

 

…………………………………………..

สวัสดีค่าาาาาาาาา แฮร่!!!!

หลังจากลงอินโทรแมคฮันเราก็ตัดสินใจว่าได้บูทงานเกมแล้วค่อยเริ่มปั่นเรื่องนี้ 5555555555555

สรุปคือได้ค่ะ ปั่นตาแหลกแน่นอน คู่นี้ก็เป็นเซตติ้งแบบ AU นะคะ แต่พวกเมนูอาหาร วัตถุดิบ ชื่อเมืองอะไรแบบนี้เราจะอิงจากในเกม

 

ปล. แท็ก #Igolus เป็นแท็กคู่ที่คิดเองค่ะ 55555555555

Fic Overwatch Flirt with you 00 #McHanzo

Standard

Title : Flirt with you

Chapter : Intro
Fandom : Overwatch
Pairing :  Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม

แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you 

เสียงดังหนวกหู ผู้คนมากมาย และกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งรวมกับสารพิษจากมวนบุหรี่เป็นองค์ประกอบรวมของสถานที่แห่งนี้ ชายหนุ่มนั่งเท้าคางกับบาร์เหล้าแล้วพ่นควันซิการ์ออกมาอย่างอ้อยอิ่ง สายตาเหม่อมองตามควันสีเทาที่ลอยล่องขึ้นไปก่อนจะจางหายไป น่าเบื่อจัง… แมคครีขยับตัวเปลี่ยนท่าทางเป็นไหลลงฟุบแนบแก้มลงกับไม้เคลือบขัดสีอย่างดี
“ช่วงนี้ท่าทางเหมือนจะเฉาตายเลยนะ” เสียงร้องทักแก่นเซี้ยวดังจากด้านหลังบาร์ คนถูกทักผงกหัวขึ้นมองแล้วฟุบลงอีกครั้ง ลีน่ายิ้มอ่อนขณะผสมเหล้าให้ลูกค้าอีกรายใกล้ๆ กัน
“อกหักมาเหรอ แมค?”
“เปล่า” เจ้าตัวงึมงำๆ ในคอ ใบหน้าคมเข้มเบะอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก “…ก็แค่เบื่อ”
หญิงสาวผมสั้นเอียงคอพลางเอานิ้วแตะคาง “หืมมมมมม ก็แค่หาอะไรทำก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ทำอะไรล่ะ”
“คั่วสาวคนอื่น… ไม่ก็พนันปาเป้าไง นายเป็นโค้ชสอนกีฬายิงปืนไม่ใช่เหรอ” เธอแนะต่อด้วยท่าทางกระตือรือร้นตามนิสัย
“ไม่เอาละ ระดับเซียนลงไปเล่นกับมือสมัครเล่นมันดูขี้โกง” ตอบกลับแบบคนมั่นใจในฝีมือสุดๆ ทั้งที่ยังนั่งฟุบอย่างน่าอดสู
เมื่อได้คำตอบกลับมาเช่นนั้นลีน่าก็ยักไหล่ราวกับยอมแพ้จะแนะนำ เธอกลับไปสนใจออเดอร์ของลูกค้าต่อทิ้งให้ชายหนุ่มนอนหง่าวเพียงลำพังท่ามกลางผู้คนมากมายที่หัวเราะคึกคัก อยากหาอะไรทำจังนะ… อะไรที่สนุกๆ ทำแล้วกระชุ่มกระชวยหัวใจน่ะ
เจสซี่ แมคครีเป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว เรื่องนี้เจ้าตัวรู้ตัวเองดี จึงไม่เคยลงหลักปักฐานกับใครเป็นจริงเป็นจัง สาวๆ หนุ่มๆ ที่ทำมาก็รู้เช่นกัน ดังนั้นวันไนท์สแตนด์จึงเป็นทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีหากต้องการมีความสัมพันธ์ด้วย แต่พักหลังๆ มานี้เจ้าหนุ่มฮอตดูจะหงอยเหงาไร้เรี่ยวแรงตอบสนองความสนุกเหล่านั้นจนน่าสงสัยว่าเขาหมดวัยรักสนุกแล้ว
แต่อายุก็ปูนนี้แล้วละนะ… อีกไม่กี่ปีก็สี่สิบแล้ว พักเรื่องใคร่ๆ ก็น่าจะดีกับร่างกายมากกว่าก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะ… มันก็น่าเบื่ออยู่ดีนี่น่า อยากหาอะไรสนุกๆ ทำจังน้า
คิดพลางพ่นควันสีอ่อนออกมาช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองขวดสุราที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหลังบาร์ไปเรื่อยเปื่อย ได้ยินเสียงเฮฮาดังลั่นจากด้านหลังแว่วๆ ดูท่าจะมีพนันปาเป้า เมื่อก่อนเขาก็ชอบใช้วิธีนี้หาเงินเหมือนกัน แต่ไม่มีใครพลิกกลับมาชนะให้ได้ลุ้นสักที สุดท้ายก็เบื่อเลยวางมือมาเป็นฝ่ายวางเงินแทน
ผ่านไปสักพักแล้วยังไม่มีวี่แววว่าเสียงดังที่ว่าจะหายไป เจ้าสังเวียนเก่าเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นนั่งตัวตรงหมุนเก้าอี้ไปสังเกตการณ์ คนมุงเยอะผิดคาดแฮะ มีคนใหม่ฝีมือแจ่มๆ มารึ…
“เฮ้ เจสซี่! มาดูไอ้หมอนี่สิ แม่นอย่างกับจับวางแหนะ พอๆ กับนายเลยนะ” มีเสียงร้องเรียกให้เดินไปดูใกล้ๆ อย่างที่คาด อย่างไรเสียก็เบื่อๆ ว่างๆ อยู่แล้ว ไปดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินเอื่อยแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มพวกสิงห์พนันทั้งหลาย มองเห็นด้านหลังของเจ้าคนใหม่ที่ว่าแล้ว…
ทรงผมอันเดอร์คัทและผมด้านบนที่ยาวจนมัดรวบเป็นจุก เสื้อฮู้ดแขนยาวสีเข้ม กับกางเกงยีนสีซีด แม้จะแต่งตัวเช่นนั้นแต่ไหล่และความกว้างของการกางขากลับดูมีระเบียบและมั่นใจ มือขาวนั่นจับลูกดอกไว้มั่น เกิดความเงียบครู่หนึ่งราวทุกคนกลั้นหายใจ ผู้ตกเป็นเป้้าสายตาเหวี่ยงแขนออกไปให้ลูกดอกปักเข้ากลางเป้าอย่างงดงาม เสียงเฮดังลั่นจากกลุ่มคนที่ลงฝั่งเด็กใหม่เอาไว้ เขาคนนั้นหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า
เจ้าคนหมดไฟเมื่อครู่ผิวปากออกมาเบาๆ พร้อมแววตาระยับ

ชักน่าสนใจซะแล้วสิ…

…………………………….

อะเฮื้ออออออ ฟิคแมคฮันลงงานเกมค่ะ

งานเกมจะลงสองเล่มคือ เรื่องนี้ กับฟิคอิกกลาจากซีรีส์ FF15 ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

ไว้สักตอน 2-3 น่าจะเอาลิงก์สอบถามความสนใจมาแปะนะคะ

ปล. ลีน่า คือชื่อจริงของเทรเซอร์ค่ะ