Fic FFXV Taste the feeling 03 [IgnisGladiolus]

Standard

Title : Taste the feeling
Chapter : Intro
Fandom : Final Fantasy XV
Pairing : Ignis Scientia/Gladiolus Amicitia
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* ฟิคเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อเรื่องเกม เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น

 

คืนนี้ถ้านายว่าง ดื่มกันเถอะ สักสองทุ่มฉันจะแวะไปหานะ
เสียงทุ้มแหบของเพื่อนซี้ที่เพิ่งวางสายไปดังก้องในสมอง เพราะคบกันมานาน แค่ฟังจากเสียงก็เดาได้ว่ากลาดิโอลัสกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ
ปกติวันหยุดของเพื่อนแสนร่าเริงคนนั้นจะเป็นการนอนขลุกอ่านหนังสือในห้องและซดบะหมี่ถ้วยของโปรด มีบางวันที่ตัวเขาโทรเรียกให้มากินข้าวเย็นที่นี่ เจ้านั่นชอบเตือนน็อกทิส เพื่อนรุ่นน้องให้หัดกินผักเสียบ้าง แต่ตัวเองดันกินแต่ของแบบนั้นน่ะนะ ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะชอบทำให้เป็นห่วงซะจริง!
คุณอิกนิสครับ…ลูกมือคนหนึ่งสะกิดเรียกหัวหน้าที่ยืนนิ่งจ้องหัวหอมราวกับถูกกดปุ่มหยุดไว้ ใบหน้าเรียบนิ่งหันมาหาช้าๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

อ่าไม่มีอะไรครับ ผมเห็นยืนเหม่อเลยคิดว่าอาจจะเหนื่อย
“…เปล่า คืนนี้มีลูกค้าจองโต๊ะรึเปล่า?” เจ้าของร้านถามเสียงเรียบเปลี่ยนเรื่อง
ไม่มีครับ คิดว่าเพราะฝนตกบ่อย คงไม่อยากออกมากินอาหารนอกบ้านกันเท่าไหร่ชายคนนั้นตอบพลางสะบัดกระทะซอสหวาน
อืม งั้นสักทุ่มกว่าๆ ก็ทยอยปิดเตาแล้วกันอิกนิสเปรยพลางคำนวณว่ากลาดิโอจะมาถึงร้านเมื่อไหร่ อาจจะสองทุ่มนิดๆ ปกติร้านปิดเกือบสามทุ่ม แต่วันนี้จะใจดีกับลูกน้องให้กลับก่อนเวลาก็ได้ ถึงทุกคนจะจำกลาดิโอลัสได้แล้วแต่อย่างไรซะ เขาก็ชอบอยู่กับกลาดิโอลัสสองคนอยู่ดี
ครับ
.
.
.
งานครัวเป็นงานร้อน แต่ต้องใช้ความใจเย็นผู้ปรุงสูง การทำอาหารจานหนึ่งไม่ใช่แค่ตักๆ ตวงๆ โปะๆ กันแล้วจะได้อาหารออกมา มันมีอะไรมากกว่านั้น คำนวณจำนวนวัตถุดิบ อุณหภูมิและสถานที่เก็บที่ส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของวัตถุดิบนั้นๆ กะเวลาในการใช้ความเย็น ความร้อน ดังนั้นอาหารที่ใช้ความชำนาญและหัวใจปรุงจึงออกมาอร่อย
กลาดิโอลัสเท้าคางมองแผ่นหลังของอิกนิสเฉกเช่นทุกครั้ง มือหมุนห่อคุกกี้ของน้องสาวเล่นไปพลางรอเพื่อนที่ง่วนอยู่หน้าเตา กลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อในหม้อต้มหอมจนน้ำลายสอ เขามาถึงร้านอิกนิสเกือบๆ สองทุ่มครึ่ง วันนี้ดูเหมือนร้านจะปิดเร็วเพราะลูกมือกลับไปกว่าครึ่งตอนเขามาถึง จนตอนนี้ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว
อิกนิส อีกนานไหม?” ร้องถามเสียงเนิบนาบ เจ้าของชื่อหันกลับมามองเด็กโข่งที่เกลือกโต๊ะไปมา
อีกแป๊บ ทำไม?”
ฉันหิวแล้ว เมื่อบ่ายทะเลาะกับพ่อซะจนอาหารบนโต๊ะหมดอร่อยเลยเสียงทุ้มว่า คนรับฟังยังคงตอบกลับด้วยเสียงก๊องแก๊งและกลิ่นหอมฉุยของสตูเนื้อ ไม่นานนักถ้วยสองถ้วยถูกวางบนโต๊ะ ตามมาด้วยสเต๊กและสลัด
กินให้จบแล้วค่อยบ่นเจ้าของร้านตอบกลับด้วยน้ำเสียงเข้มงวด รอจนอีกฝ่ายจับอุปกรณ์กินอาหารแล้วจึงยอมเลิกจ้อง
แต่ฉันอัดอั้นนี่หว่า รู้ไหมพ่อบอกว่าฉันน่ะนะเลี้ยงเสียข้าวสุก บ้าจริงๆ เลย ที่ฉันเป็นทหารให้ตอนนั้นมันไม่พอรึไงกัน
เดี๋ยวสำลักพอโดนดุก็ยอมกินเงียบๆ อย่างที่อิกนิสต้องการแต่ก็เงียบได้ไม่นาน
ทำไมพ่อถึงต้องยึดติดกับมันขนาดนั้นด้วย…โอเคๆปิดปากลงอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย รีบจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเร่งด่วนเพื่อจะได้ระบายความอัดอั้นเสียที พอผักสลัดคำสุดท้ายถูกย่อยลงกระเพาะเจ้าตัวก็อ้าปากพูดทันที
ก็แค่ฉันไม่อยากเป็นทหาร ไม่เห็นต้องโกรธกันขนาดนั้นเลย ตำแหน่งนั่นมันสำคัญนักรึไงกัน เผด็จการ!” สารพัดคำบ่นของกลาดิโอลัสลอยมาเข้าหูผู้ฟังที่ยังคงละเอียดกินอาหารอย่างสุขุม นัยน์ตาสีเขียวเหลือบมองริมฝีปากที่ขยับไปมาเป็นครั้งคราวเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าสนใจฟังอยู่ เมื่อจัดการมื้ออาหารเสร็จก็ลุกไปหยิบวิสกี้ในตู้มารินใส่แก้วน้ำแข็งให้คนที่นั่งฝอยจนปากแห้ง ปกติอิกนิสไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่ แต่การดื่มพอประมาณช่วยให้หลับง่ายขึ้น

กลาดิโอลัสเป็นพวกมีอะไรต้องพูดออกมา ไม่เช่นนั้นจะเก็บไปคิดจนนอนไม่หลับ ไม่ชอบอะไรค้างคา เห็นจะมีก็แต่เรื่องที่มีปากเสียงกับคุณเคลรัสนี่แหละที่คาราคาซังมานาน ตอนช่วงวัยรุ่นก็มาหมกตัวที่ร้านบ่อยๆ มาให้ทำแผลให้บ้างละ ไม่อยากกลับบ้านบ้างละ บางวันคนขับรถมานั่งรอที่หน้าร้านก็มี ตอนนั้นตัวอิกนิสเองก็มองว่าเจ้าเพื่อนบ้าพลังคนนี้มันดื้อเกินไป แต่เอาเข้าจริงๆ คุณเคลรัสเองก็เคี่ยวเข็ญเรื่องหน้าที่เกินไปหน่อย ถ้าผ่อนบ้างหมอนี่อาจจะยอมเป็นทหารให้ตลอดก็ได้

“ทำยังไงดีล่ะ อิกนิส” พอบ่นเสร็จจู่ๆ ก็โยนคำถามมาให้เสียอย่างนั้น

“…ในฐานะคนกลาง ฉันมองว่านายควรจะใจเย็นกว่านี้ ก็รู้ว่าคุณเคลรัสพ่อตัวเองเป็นยังไง ยิ่งไปขวางก็ยิ่งโมโห ดูอย่างไอริสสิ ทำได้ถึงขนาดให้นายไปนั่งร่วมโต๊ะกับเขาได้เลยนะ”

“ก็ใช่หรอก แต่มันอดไม่ได้นี่หว่า จะให้นั่งฟังคำด่าเฉยๆ หรือไง ได้ใจกันพอดี”

“ที่เขาด่าก็เพราะเขาคาดหวังกับนายที่เป็นลูกชายคนเดียวไงล่ะ” ผู้ให้คำปรึกษาว่าแล้วก็ยกแก้วสุราขึ้นจิบ แอบคิดในใจว่าก็พอกันทั้งพ่อทั้งลูกน่ะแหละ วางลงบ้างก็ได้ไอ้พวกทิฐิกับศักดิ์ศรีบนบ่าน่ะ แต่เลือกพูดให้เบาลงเพื่อความสบายใจของคนมาปรึกษา “ที่จริง ถ้าคุยกันดีๆ แต่แรกก็ไม่ลากยาวขนาดนี้หรอกมั้ง”

“…เฮ้อ” คนโดนเทศน์เบ้หน้าแล้วถอนใจเป็นการประชดที่ไม่ยอมเข้าข้างกัน มือใหญ่ยกแก้วขึ้นดื่มอึกๆ ดวงตาใต้เลนส์แว่นมองตามจังหวะการขยับของลูกกระเดือกแล้วเบนตาหนี ชายหนุ่มผู้นิ่งเฉยกำลังต่อสู้กับความต้องการส่วนลึกของตัวเอง ท่องในใจว่า เพื่อน… เป็นอย่างตอนนี้ก็ดีแล้ว

“จะลองดูละกัน ฉันก็ไม่ชอบที่ต้องมาคิดเรื่องน่าอึดอัดแบบนี้นักหรอก” ว่าแล้วก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ไว้โทรหาไอริสอีกทีดีกว่า ยายนั่นคงจะเป็นคนที่อึดอัดกับเรื่องนี้ที่สุดแล้วละมั้ง ไม่งั้นคงไม่ชวนไปกินข้าวที่บ้านหรอก รู้สึกผิดชอบกลแฮะ ไม่เคยทำผู้หญิงที่ไหนร้องไห้แต่ดันทำน้องสาวตัวเองร้องไห้แทนซะนี่

จะว่าไป… ยายนั่นฝากคุกกี้มาให้เจ้าแว่นนี่ช่วยชิมนี่นา คุณพี่ชายแสนดีฉุกคิดขึ้นมาได้ทั้งที่ก็ยังจับเล่นตอนรอกินข้าว เขาเลื่อนห่อคุกกี้ข้าวโอ๊ตของมือใหม่หัดอบไปตรงหน้าพ่อครัวมือฉมัง

“คือ?”

“คุกกี้ที่ยายตัวแสบทำ ยายนั่นบอกว่าให้นายชิมแล้วบอกด้วยว่าเป็นยังไง”

มือขาวยื่นมาแกะห่อขนมแล้วหยิบเข้าปาก กลิ่นเนยและกล้วยหอมอวลอยู่ภายในปาก สัมผัสหยาบนิดๆ ของข้าวโอ๊ตถูกกลบด้วยเนื้อนิ่มของกล้วยที่นำมาผสมแล้วเพิ่มความหวานเจือขมด้วยช็อกโกแลตสับ ตาเรียวสวยมองเจ้าของร้านชื่อดังที่เคี้ยวคุกกี้ของน้องสาวตัวเองพลางลุ้นคำวิจารณ์ราวกับตัวเองเป็นคนทำเอง

“ฉันชอบนะ เป็นคุกกี้ข้าวโอ๊ตที่กินง่ายดี”

ร่างสูงพยักหน้ารับคำวิจารณ์แทนคนทำ ตอนโทรไปครั้งหน้าค่อยบอกละกัน ได้คำชมแบบนี้คงจะทำเจ้านี่มาให้กินอีกเป็นกองเลยละมั้ง แบบนี้คงไม่ต้องห่วงเรื่องหาเจ้าบ่าวแล้วละมั้ง ห่วงก็แค่ใครจะมาตกหลุมเด็กแก่นๆ แบบนั้นน่ะแหละ แต่ว่า…เจ้าอิกนิสไม่ค่อยชมคนอื่นว่าทำอาหารอร่อยเลยนี่หว่า รึว่า?! นิสัยคนหวงน้องเริ่มทำงานในทันทีจึงดันหัวข้อใหม่เพื่อขุดคุ้ยข้อมูลที่ตนอยากรู้

“นานๆ นายจะชมฝีมือคนอื่นนะเนี่ย แบบนี้น้องสาวฉันคงไม่ต้องห่วงเรื่องทำอาหารให้คนรักแล้วสินะ”

“ทำขนมได้ใช่ว่าจะทำอาหารคาวอร่อย…”

อุ๊ก…! ฟังแล้วเจ็บแทนไอริสเบาๆ ไม่เคยเห็นไอริสทำเมนูของคาวซะด้วยสิ

“แต่นายทำได้นี่ สาวที่ได้เป็นเจ้าบ่าวคงใจดีแย่”

“คงจะอย่างนั้น” ตอบกลับมาแบบคลุมเครือชวนให้สงสัยว่าเพื่อนสุดเนี้ยบตรงหน้ามีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ

“แสดงว่า…มีสาวที่มองไว้แล้วสินะ…” นักสืบจำเป็นโน้มตัวเข้าไปจ้องดวงตาเขียวเข้มใต้เลนส์ใส ทั้งอยากรู้เรื่องของเพื่อน และเพื่อคาดเดาว่าคนคนนั้นใช่น้องสาวของตนรึไม่

“……” อิกนิสมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้ราวจะเค้นเอาความจริงที่ซุกซ่อนไว้ในใจ แววตาที่เต้นระริกเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้นชวนให้มองได้ไม่รู้เบื่อ

“ไม่อยากตอบงั้นสิ” เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเงียบไปจึงตีความไปทางนั้นแทน

“เปล่า… อยากรู้จริงน่ะเหรอ” พอถามไปอย่างนั้นก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกๆ แทน แค่อยากรู้ว่าชอบไอริสรึเปล่าเท่านั้นละมั้ง คนอย่างเจ้าบ้านี่… แต่ว่า… ถ้าอยากรู้ละก็…

“อืม ก็มองอยู่”

“นั่นไง!” มือใหญ่ประกบกันดังป๊าบ ชายวัยยี่สิบปลายทำหน้าคล้ายดีใจที่สันนิษฐานได้ถูกต้อง แม้จะยังไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นใคร พอดื่มของเหลวเพิ่มระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเข้าไปแล้วก็กลับมาสนใจหัวข้อรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่ค่อยได้คุยกับอิกนิสสักเท่าไหร่ หัวข้อเกี่ยวกับสาวๆ มักจะเป็นพรอมพ์โตซะส่วนใหญ่ที่เปิดประเด็น แต่ชายสวมแว่นแสนสุขุมคนนี้ไม่ค่อยจะออกความเห็นเท่าไหร่ ไม่คิดว่าจะมีเล็งใครไว้ด้วย

“สวยไหม?”

“อยากรู้ไปทำไม”

“ก็อยากรู้ไงเล่า บอกกันหน่อยไม่ได้รึไง”

อิกนิสมองเพื่อนสนิทที่ลืมเรื่องกลุ้มใจของตัวเองไปเรียบร้อยพลางเรียบเรียงสติของตน ท่าทางอย่างนั้น ถ้าทำให้ตกใจจะเป็นยังไงนะ…? ถ้าตาสวยนั่นเบิกกว้างขึ้นเพราะคำพูดที่บอกไปคงจะตลกไม่น้อย ถ้าอยากรู้มากละก็… คนสวมแว่นขยับมือเรียกให้อีกฝ่ายยื่นหน้ามาใกล้ ล่อลวงด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างที่ทำเป็นประจำให้ตายใจ ดวงหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้ามาหาด้วยความอยากรู้แสนซื่อ ไม่แม้แต่จะชะงักเมื่อถูกมือข้างหนึ่งจับช่วงลำคอไว้ ใบหน้าสวมแว่นขยับเข้าหา ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าผิดปกติก็ตอนที่ริมฝีปากทาบทับลงมาแล้วขยับเม้มอย่างเชื่องช้า

สมองที่ประมวลด้วยความเร็วเท่าเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิกสรุปได้ว่านุ่มและอุ่น รู้สึกเหมือนจังหวะหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง แต่ก่อนจะได้ผลักไส สัมผัสนั่นก็ละออกพร้อมกับสายตาที่แปลกไปของเพื่อนซึ่งคบกันมากกว่าครึ่งชีวิต หูได้ยินเสียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเจือหยอกเย้าในที

“นายไง”

 

 

!!!

ร่างสูงลุกพรวดขึ้นจากการนอน ดวงตาเบิกโพลงมองล่อกแล่กไปมาในห้องที่เงียบสงบ หัวใจเต้นโครมครามจนรู้สึกได้แม้ไม่สัมผัสหน้าอก จมูกโด่งสูดอากาศเข้าปอดเพื่อเรียกสติที่กระเจิงกระจายให้กลับเข้ามา ริมฝีปากกระจับได้รูปเม้มเบาๆ ก่อนจะชันเข่าขึ้นซุกหน้าลง ส่งเสียงคำรามในลำคอคล้ายจะตะโกนออกมาแต่ก็เกรงใจคนข้างห้อง กลาดิโอลัสกำลังรำคาญและอัดอั้นใจจนนอนหลับๆ ตื่นๆ สองมือกร้านขยำขยี้ผมของตัวเองไปพลางหงุดหงิดตัวเองไปพลาง

สัมผัสร้อนผ่าวที่ควรจะหายไปนานแล้วความรู้สึกกลับติดแน่นจนอยากจะทึ้งหัวตัวเองให้ตายไปเสีย พอหลับตาลงมันก็สะท้อนภาพของนัยน์ตาสีสวยที่สบมองมา เสียงนุ่มและคำพูดซึ่งสะท้อนก้องวนเวียนอยู่ในสมอง ผลพวงจากการไปปรึกษาปัญหาครอบครัวกับอิกนิสรุนแรงเกินคาด แทนที่จะสบายใจขึ้นไหงกลายเป็นว่ามีเรื่องคาใจงอกขึ้นมาเป็นสองเรื่องล่ะ?!

ชายหนุ่มรู้ว่าอิกนิสไม่ใช่พวกขี้แกล้ง มันไม่ใช่การล้อเล่น แต่…มันจะใช่เหรอ ณ มุมหนึ่งมีความคิดนี้ขึ้นมา อิกนิสคนนั้นน่ะนะ?! คนที่ทุกสิ่งอย่างต้องเป๊ะ เรียบร้อยอย่างที่ควรเป็น คนที่อยู่ในกรอบ กฎระเบียบทุกอย่าง ขนาดตอนเป็นวัยรุ่นแม้แต่เสื้อเชิ้ตยังไม่เป็นชายเสื้อแลบออกจากกางเกงสักครั้ง ไม่คิดแม้จะสนใจมองสาวหรือพวกเรื่องใต้สะดือแม้แต่น้อยคนนั้น!!!!!!

“อ๊ากกกกกกกกกกกกก” อ้าปากส่งลมออกจากปอดแบบไร้เสียงแต่ร่างกายขยับเด้งไปมาจนเสียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไม่เกรงใจห้องข้างเคียง และแล้วคืนนั้นชายผู้คิดมากก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น มัวแต่คิดว่าตอนเช้าจะมองหน้าอิกนิสยังไง จะพูดอะไร จะต้องทำตัวแบบไหน หรือจะฝากใครไปวิ่งเส้นทางของร้านสตูเพลดี

แต่สุดท้ายก็มาเองอยู่ดี ร่างสูงใหญ่ยืนยิ่งค้างอยู่หน้าประตูหลังของครัวสตูเพล กลาดิโอสูดลมหายใจเข้าออกพร้อมบอกตัวเองให้ใจเย็นอยู่อย่างนั้น หลังทำใจได้แล้วก็เคาะประตูหลังมีมารยาทต่างจากปกติที่เปิดเข้าไปทักทายทันทีที่ย่างกรายมาถึง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาซึ่งตรงเข้ามาใกล้ส่งผลกับจังหวะหัวใจในอก

แกร๊ก

บานประตูเปิดออกพร้อมกับใบหน้าเรียบนิ่งตามปกติของอิกนิส สตูเพล สาเหตุของอาการนอนไม่หลับของคนส่งอาหารสดร่างหนาคนนี้ อิกนิสก้าวออกจากตัวอาคารเพื่อประชิดตัวผู้มาเยือนทันที คนตั้งตัวไม่ทันก้าวถอยหลังคล้ายผงะเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายสัมผัสใบหน้า

“นอนไม่พอ?”

“……อ่า อืม นิดหน่อย” กระแอมเบาๆ ก่อนจะตอบแล้วหมุนตัวเดินนำไปที่รถขนของ ไม่รู้ว่าตัวเองตอนนี้ทำหน้าแบบไหน หรือดูเป็นยังไง แต่ที่รู้คือยังไม่พร้อมจะมองหน้าเพื่อนสนิทคนนี้ เพราะเมื่อกี้แม้จะแค่แป๊บเดียวแต่สายตาก็ไปหยุดที่ปากของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ การเลือกวัตถุดิบดำเนินไปเช่นทุกวัน จะมีก็แต่ชายสองคนที่ไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไหร่ คนหนึ่งก็เรียกให้อีกฝ่ายมาคอยรับของไปจากมือ ส่วนอีกคนก็ทำท่าจะเดินหนีไปได้ทุกเมื่อ

“กลาดิโอ มานี่หน่อย” ลูกค้าคนสนิทส่งเสียงอีกครั้งหลังเจ้าของชื่อเดินหนีไปอีกทางอย่างจงใจ กลาดิโอเดินกลับไปหาอิกนิสเป็นรอบที่หกของเช้านี้ ยื่นมือออกไปรับแพ็กเนื้อคางคกยักษ์แล้วทำท่าจะเดินกลับไปยังรถเข็นที่ปกติก็เข็นติดตัวมาด้วยตลอด แต่ก็โดนรั้งข้อมือไว้เสียก่อน

“อะไร”

“เข็นรถเข็นมาด้วยเลย” พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งอย่างไม่พอใจที่โดนหลบหน้า ชวนให้คิดว่าตัวเองเลือกเดินผิด ไม่น่าเลือกรุกไปข้างหน้าเพียงเพราะอยากลองเห็นสีหน้าเหรอหราของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร… ฉันถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว”

“มันเสียเวลา นายอยู่ตำแหน่งนี้มานานน่าจะรู้ดีนะ” เลือกหยิบเอาหน้าที่ความรับผิดชอบมาขู่ รถส่งของจะมีตารางวิ่งรถไปถึงร้านไว้อยู่แล้ว แม้จะเอื่อยเฉื่อยแค่ไหนก็ควรไปถึงตามตารางเดิมอยู่ดี

“ก็เลือกให้เร็วๆ สิ”

“ฉันเป็นลูกค้า ฉันมีสิทธิ์เลือกสินค้า…นานแค่ไหนก็ได้” พูดจายียวนผิดวิสัยแต่ก็ทำให้ฝ่ายให้บริการหน้ามุ่ยและยอมจำนนจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงระยะห่างไว้ด้วยทำตัวไม่ถูก อิกนิสเหล่มองด้วยหางตาก่อนจะพูดต่อ “ทำตัวปกติก็จบแล้ว”

“นายก็ทำตัวให้มันปกติสิ!” ขึ้นเสียงใส่เพราะเหมือนถูกอ่านใจได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เว้นระยะห่างขนาดนั้น ไอ้เหตุการณ์เมื่อคืนกับเมื่อเช้ามันตีผสมปั่นรวมกันเป็นน้ำผักผลไม้รวมอยู่ในหัวแล้วเนี่ย

“ฉันก็ทำตัวปกติ…” คนเลือกผักสดอยู่พูดคล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องแปลก “เพราะปกติฉันก็เอาใจใส่นายอยู่แล้ว”

“แต่ปกตินายก็ไม่ได้มาจับตัวหรืออะไรแบบนั้นนี่”

“อยากให้ฉันทำอะไรที่ต้องการตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ารู้สึกยังไงน่ะเหรอ”

ได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกนี่คือ…สนใจ หรือชอบมากกว่าเพื่อนอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ นี่สรุปจะบอกว่าเพราะเขาซื่อบื้อก็เลยมองการกระทำแสนใจดีนั่นเป็นปกติของเพื่อนคนนี้งั้นเหรอ ถึงจะรู้สึกว่ามันมากเกินไปนิดแต่ก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไรนี่หว่า กับน็อกทิสหรือพรอมพ์โต หมอนี่ก็ดูแลเหมือนกัน

“แล้ววันนี้จะดื่มกาแฟไหมล่ะ”

“ไม่เอา ดื่มมาแล้ว” ปัดโอกาสการอยู่ด้วยกันสองคนยามเช้าทิ้งอย่างไม่ไยดีด้วยยังเคืองที่บังอาจเป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับ แต่อันที่จริงคือเมื่อเช้ากลาดิโอลัสเดินโหลเหลไปพึ่งพาร้านกาแฟใกล้ห้องพักอย่างเร่งด่วน ถ้าไม่ซดเข้มๆ สองช็อตคิดว่าคงไม่น่าจะอยู่ถึงเย็น

พ่อครัวใหญ่ยักไหล่รับคำแล้วเลือกสินค้าต่อ ไม่เซ้าซี้อะไรเพื่อให้อีกฝ่ายหนีห่างกว่าเดิม จะพยายามคงระยะห่างไว้แบบนี้ละกัน… เท่าที่ทำได้น่ะนะ แต่ถ้าเจ้าตัวยังไม่ชอบใจหรือรู้สึกในเชิงนั้นก็ไม่คิดจะบังคับ สองหนุ่มปล่อยระยะห่างที่เกิดขึ้นไว้ไปจนกลาดิโอลัสขับรถออกไป

กลาดิโอลัสปล่อยลมหายใจออกมาพร้อมกับฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถหลังเลี้ยวเข้ามาจอดในซอยเล็กหลังร้านอีกแห่ง ไม่ชอบความรู้สึกชวนอึดอัดที่เกิดขึ้น มันไม่เหมือนความรู้สึกตอนเถียงกับผู้มีพระคุณอย่างบิดา ไม่ได้รุนแรงจนรู้สึกผิด แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่ทิ้งระยะห่างกับเพื่อนที่คอยช่วยเขาเรื่อยมา

ทำยังไงดีล่ะ? เลิกคบ? ก็ดูจะเกินไปหน่อย ไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายหรือทำอะไรแย่ๆ ใส่ซะหน่อย ครุ่นคิดหาวิธีปรับความเข้าใจพลางจดสินค้าที่ลูกค้าต้องการลงเครื่องบันทึก ก็แค่โดนจูบ… ก็ไม่แค่นะ ฮึ่ม… ช่างมันก่อนแล้วกัน! ขอทำงานก่อน ไม่อยากทำพลาดแล้วโดนคอมเพลนไปทางบริษัทเพราะเอาแต่คิดเรื่องโดนผู้ชายจูบเป็นเชอร์รี่บอยหรอก วันนั้นทั้งวันก็เอาแต่ท่องบอกตัวเองแบบนั้นจนเลิกงาน

คนที่สามารถปรึกษาตอนนี้มีอยู่ในสมองสามคน คนแรกหนีไม่พ้นไอริสน้องสาวตัวแสบ แต่ก็เป็นคนที่ไม่อยากให้รู้มากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนที่สอง เจ้าน็อกทิส แต่รายนั้นน่าจะตอบอะไรมาแบบไม่ใส่ใจ ส่วนคนสุดท้าย ไม่อยากคิดจะปรึกษาเท่าไหร่ เจ้าหนูพรอมพ์โตที่มั่นใจว่าต้องไปหลุดให้อิกนิสฟังว่าเขาไปปรึกษาแน่นอน มีสามตัวเลือกก็ตัดทิ้งทั้งสามตัว…

เดี๋ยว! จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่ามีอีกคนหนึ่งที่ลืมไปว่าน่าจะคุยได้ เป้าหมายที่มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์โมโตพุ่งทะยานไปในวันนี้จึงไม่ใช่ห้องพักของตนแต่เป็นอู่ซ่อมรถ ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปในอู่ที่แม้จะเริ่มค่ำแล้วก็ยังคงมีเสียงโวยวายของลูกมือและหัวหน้าช่าง เขามองเห็นร่างอรชรสมส่วนของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งก้มอยู่หน้ากระโปรงรถ

“ไง คนสวย คืนนี้ว่างไหม” กลาดิโอเอ่ยทักด้วยประโยคที่มีเพียงเธอเท่านั้นจะได้ยิน ใบหน้าสวยเซ็กซี่ปนขี้เล่นขยับขึ้นมองผู้มาเยือนก่อนจะยิ้ม

“ยะโฮ่ กลาดี้นี่! ลมอะไรหอบมาล่ะเนี่ย” ซินดี้ละมือออกจากเครื่องยนต์มาทักทายหนุ่มตัวโตที่พิงรถลูกค้าอยู่ กลาดิโอยิ้มแหยเล็กๆ แล้วยักไหล่

“ก็นิดหน่อย…”

“เอ๋ ปกติเห็นปรึกษาเจ้าหนูอิกนิสนี่นา ทะเลาะกันเหรอ?” สาววัยสามสิบยังแจ๋วถามเจื้อยแจ้ว เธอเดินนำไปยังห้องทำงานส่วนออฟฟิศหลังจากล้างมือที่เปื้อนคราวน้ำมันเครื่องและเขม่าควันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั่งในห้องทำงานเย็นเฉียบแล้ว ผู้มาขอคำปรึกษาก็เริ่มประสานมือเข้าหากันแล้วบีบแน่น

“คือว่านะ… ไม่รู้ว่าจะเล่าดีไหม แต่ถ้าไม่ได้พูดมันอึดอัด นอนไม่หลับน่ะ” กลาดิโอเริ่มเกริ่นแบบกระมิดกระเมี้ยนคล้ายสาวน้อยขี้อาย ซินดี้นั่งไขว่ห้างกอดอกมองหน่ายๆ เป็นการเร่งให้พูด ไม่งั้นฉันจะไปทำงานต่อ!

“เจ้าอิกนิสน่ะ…มันบอกว่าชอบฉัน…” พูดออกมาจนได้หลังจากเงียบไปสักพัก มือใหญ่ยกขึ้นปิดหน้าของตัวเองพร้อมเสียงถอนหายใจที่พักนี้ชักจะบ่อยขึ้น

“เอ๋… นี่ไม่รู้เหรอ? ฉันก็คิดว่ารู้ตั้งนานแล้วนะเนี่ย” สาวสวยตาโต เธอยกมือปิดปากแล้วมองชายหนุ่มตัวโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนมองของแปลก “เขาออกจะชัดเจนขนาดนั้น”

“ก็คนมันไม่รู้นี่”

“ซื่อบื้อน่ะสิไม่ว่า ขนาดน็อกทิสที่ดูตามเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ทันยังรู้เลย” ซินดี้แขวะเข้าให้อีกรอบ น่าอิจฉาจะตาย อิกนิสน่ะเรียกได้ว่าเพอร์เฟกต์ เรื่องรูปลักษณ์และบุคลิกไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว สุขุม ใจดี ทำอาหารเก่ง รักความสะอาด แค่คิดว่าจะได้กินอาหารฝีมือพ่อหนุ่มนั่นไปทั้งชีวิตก็ฟินแทนแล้ว

“ช่างเถอะน่า ไม่ได้มาให้แดกดันกันนะ มาปรึกษาต่างหาก” กลาดิโอโวยขึ้นมา

“แล้วยังไงล่ะ ปรึกษาเรื่องอะไร เรื่องชอบไม่ชอบนี่ถามใจตัวเองดูก็ได้ไหม ไม่ต้องถ่อมาหาฉันหรอก เสียเวลาทำงานจ้ะ” แม้จะไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่โดนสาวสวยตอบกลับอย่างไร้เยื่อใยอย่างนี้รู้สึกเจ็บช้ำ

“เพราะเรื่องชอบไม่ชอบเนี่ยแหละ ถึงต้องมาปรึกษาไงล่ะ แถมถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อนะ…” กลาดิโอลัสทำหน้าแหยหนักกว่าเดิม เมื่อคิดว่าต้องปะทะคารมกับพ่อบังเกิดเกล้าอีกครั้ง ซินดี้ขยับเปลี่ยนท่าเป็นเท้าคางกับโต๊ะทำงานแล้วถอนหายใจ

“นี่ กลาดี้ ฉันจะบอกให้นะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนายกับอิกนิส ถ้านายไม่ชอบเขานายก็บอกเขาไปตรงๆ อย่าให้ความหวัง แต่ถ้าชอบก็บอกไปว่าชอบ ปกตินอกจากเรื่องคุณเคลรัส นายก็ไม่ใช่พวกเก็บเรื่องพวกนี้มาคิดยิบย่อยอยู่แล้วนี่” เธอโน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วใช้นิ้วจิ้มที่แผ่นอกกว้างเบาๆ “คิดมากขนาดนี้…ไม่ใช่ว่าชอบเจ้าหนูอิกนิสเหมือนกันหรอกเหรอ”

!!!” มองดวงตาสีเขียวเข้มตรงหน้าที่ค่อยๆ ห่างออกไปแล้วถึงควานหาเส้นเสียงตัวเองเจอ “ไม่ ไม่แน่ๆ”

“ไม่ชอบตอนนี้ ไม่ได้แปลว่าต่อไปจะไม่ชอบนะ” สิรานีจำเป็นยิ้มหวานให้ “ส่วนคุณเคลรัสน่ะนะ ถ้าหนักแน่นจริงๆ เขาคงยอมเองน่ะแหละ ในทุกเรื่อง…คิดว่านะ”

พูดจบร่างเล็กก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมปรบมือหนึ่งที “หมดเวลาพักแล้ว ฉันไปลุยต่อดีกว่า นายเองก็กลับไปคิดดูละกันนะ” ขยิบตาให้ครั้งหนึ่งแล้วก็เดินนวยนาดออกจากห้องทำงานไปโดยทิ้งตะกอนไว้ในใจของชายหนุ่มผู้ไม่อาจเข้าใจตัวเองได้ในตอนนี้ พอหอบร่างกลับมาห้อง กลาดิโอลัสก็นอนไม่หลับเอาแต่คิดเรื่องของเพื่อนสวมแว่นที่เข้ามาแย่งพื้นที่สมองจากเรื่องอื่น ปวดหัว!!!

 

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่คนถูกจูบที่นอนไม่หลับ ฝั่งคนเริ่มจูบก็ไม่แพ้กัน อิกนิสขยับพลิกตัวไปมาใต้ผ้าห่มนุ่ม ว่ากันว่าไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ หากได้ลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ที่ถูกใจแล้วมักจะอยากกินเรื่อยๆ และมากกว่าเดิมเป็นเรื่องปกติ ตอนที่ได้แค่มองก็คิดอยู่หรอกว่าปากกลาดิโอน่าจะนุ่มแต่ก็ไม่ได้นิ่มแบบปากชุ่มฉ่ำของหญิงสาว เป็นนุ่มแบบน่ากัดให้ช้ำมากกว่า…

“…” แล้วก็คืนสติได้ว่าตัวเองไม่ควรคิดเรื่องสัมผัสในวันนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้นอนกันพอดี ร่างสมส่วนขยับท่าทางนอนเป็นนอนหงายตรงแล้วหรี่ตาลง บอกตามตรงว่าเขาไม่รู้จะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง ไม่รู้ว่ากลาดิโอลัสคิดยังไงหรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำ เอาเป็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก ไม่ได้มีปากเสียงกันเลยด้วยซ้ำแต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้นะ สู้ให้กลาดิโอผลักอก ต่อยสักหมัดแล้วออกปากให้อยู่ห่างๆ ยังดีกว่าอีก อยู่ใกล้กันแต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งที่อีกฝ่ายรู้ความรู้สึกกันแบบนี้มันน่าหงุดหงิดจะตายชัก เมื่อก่อนก็เห็นเจ้ายักษ์นั่นแก้ปัญหาด้วยวิธีงี่เง่าแบบนั้นแท้ๆ ขนาดน็อกทิสยังเคยโดนต่อยเลย แล้วไหงดันทำแค่ขอตัวกลับวิ่งออกจากร้านไปเล่า

ในสมองมีแต่คำถามที่วนไปเวียนมาตลอดเวลา อิกนิสระบายลมออกมาก่อนจะข่มตาหลับให้สมกับที่ดื่มชาคาโมมายล์เพื่อให้ร่างกายและสมองผ่อนคลาย ถ้าทำให้หัวใจผ่อนคลายได้ด้วยก็คงจะดีนะ…

 

……………………………………………….

วันนี้มาพร้อมแบบสอบถามความสนใจค่ะ

https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSejfyi_2t43YfdpNUOLrYQrye3JETwxn5dl0BXCLU1eA4h1jQ/viewform

ปิดรับคำตอบวันเสาร์นี้ตอนสี่ทุ่มครึ่ง กระชั้นชิดไปหน่อยต้องขออภัยจริงๆTvT

ปกไว้จะแปะที่หน้าเพจอีกทีนะคะ 55555555555555

Leave a comment