Title : Flirt with you
Chapter : 05
Fandom : Overwatch
Pairing : Jasse McCree / Shimada Hanzo
Author : OMU
Rate : PG
Notice : *AU* เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื้อหาของเกม
แบบฟอร์มสอบถามความสนใจแฟนฟิคชั่นเรื่อง Flirt with you
แกรก…
ดินสอไม้กระเด็นหลุดออกจากมือลอยหวือไปไกลจากการควงไปควงมา พักนี้ฮันโซคิดงานไม่ออก งานดีไซน์ที่เคยชอบหนักหนายามได้จรดดินสอร่างกลับถูกกากบาทที่มุมรูปจนกองกระดาษกระจายเต็มโต๊ะ ใบหน้าเริ่มบึ้งตึงจนถอดใจจะลุกไปเก็บอุปกรณ์วาดเขียนที่กลิ้งไปสุดกำแพงอีกฝั่ง คนมาดดีเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วนวดหัวตา ลูกค้าที่จ้างออกแบบลายมังกรดูไม่ชอบใจกับลายที่ส่งไปให้เท่าไหร่ การเจอลูกค้ามากมายทำให้รับมือกับอารมณ์ผิดหวัง และเศร้าเมื่อโดนติเตียนได้ดี แต่อารมณ์เครียดเพราะงานไม่ออกมาดีดังหวังแม้จะผ่านมาโชกโชนแค่ไหนก็ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี
ฮันโซหลับตาลง ผ่อนเข้าออกลมหายใจช้าๆ พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านเรื่องเจ้าหนุ่มปากมากที่มาวนเวียนป้วนเปี้ยนชวนไปเที่ยวนู่นนี่แต่ก็คอตกเสียทุกรอบเพราะปฏิเสธไปอย่างชัดเจนโดยใช้งานมาเป็นข้ออ้าง รู้สึกแย่นิดๆ ที่เหมือนวิ่งหนี ยังอยากอยู่กับตัวเองนานอีกนิด ยังไม่สามารถปั้นหน้านิ่งหลังฟังคำพูดเย้าแหย่พวกนั้นได้ ขืนหมอนั่นพูดอะไรแปลกๆ ตอนอยู่ข้างนอกต้องได้ตัวแดงแปร๊ดกลางฝูงชนแน่ บางทีก็น่าสงสัยว่าเขาขี้เขินเกินไปหรือเจสซีหน้าหนาหน้าทนเกินไป
อีกอย่าง…อยู่ใกล้เจ้านั่นแล้วเอาแค่นึกถึงเก็นจิ การเอาภาพน้องชายมาซ้อนทับคนอื่นเป็นเรื่องเสียมารยาท แม้เก็นจิจะไม่เคยพูดเชิงเกี้ยวพากับเขาก็เถอะ พอคิดถึงน้องชายที่ไม่สามารถหาข่าวคราวมาได้ก็กลอกตาไปมาแล้วถอนใจ จ้างนักสืบใช้เงินเยอะเกินไป ถ้าลองถามคนอื่นล่ะ…? ไม่แน่ว่าคนแถวนี้ไม่คนใดคนหนึ่งอาจจะรู้จักหมอนั่นก็ได้ ลองไปหาข้อมูลดีไหมนะ แต่คนพูดไม่เก่ง ซ้ำยังเจาะสักแบบนี้ไปทักมีหวังกลายเป็นพวกน่าสงสัยแน่ ฮึ่ม… ให้ตายสิ น่าหงุดหงิด
กรุ๊งกริ๊ง~
เสียงเล็กแหลมที่ร้องเตือนยามเปิดประตูร้านดังขึ้นดึงความคิดของช่างสักกลับสู่ความเป็นจริง วันนี้ไรน์ฮาร์ตมาพร้อมถุงกระดาษในอ้อมแขน ห่อนั้นถูกวางบนโต๊ะทำงานของฮันโซซึ่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่
“เอามาฝาก เห็นช่วงนี้เจ้าแมคมาที่ร้านบ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ เอาไว้ดื่มด้วยกัน” ชายเฒ่าว่าพร้อมรอยยิ้ม
“…ขอบคุณ… แต่ไม่ต้องก็ได้…เกรงใจครับ” เด็กโข่งวัยสามสิบปลายๆ รับห่อกระดาษที่เดาเอาว่าคงเป็นเครื่องดื่มจากร้านเจ้าตัวน่ะแหละ ได้ยินจากเจ้าคนในบทสนทนาว่าที่ร้านสั่งเหล้ายี่ห้อใหม่เข้ามาแต่ยังไม่ได้ไปลองสักที เพราะเลี่ยงการออกไปเที่ยวกับเจสซี ทั้งที่คิดไปคิดมาอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เขาอาจจะกระอักกระอ่วนไปเองคนเดียว ไว้ถ้ามาชวนอีกอาจจะไป…มั้ง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เพราะเจ้าแมคมันจ่ายเงินแล้วน่ะสิ… ไอ้เด็กนั่นมันแผนเยอะจนน่าคิดว่ามันขุดเอาวิธีจีบสาวจากทั้งชีวิตมาใช้กับฮันโซรึเปล่า แต่ดูแล้วไอ้คนโดนจีบโดนตามใจจะไม่ชินเนี่ยสิ ไรน์ฮาร์ตนั่งลงบนเก้าอี้เช่นเคย ไล่หยิบตัวหมากออกมาเรียงขณะที่เจ้าบ้านเอาสุราไปเก็บและเริ่มชงชา ชายเยอรมันสูงวัยเริ่มคิดหาคำถามที่โดนแมคครีตะแง้วๆ ขอให้ช่วยถาม
“พักนี้กับแมคครีเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นมันมาติดพัน…” ไม่ทันพูดจบมือที่จับถ้วยชาเรียงบนถาดอยู่ก็ปล่อยให้ถ้วยหล่นดังแกรกจนน่ากลัวว่าเซรามิกสีสวยนั่นจะมีรอยบิ่น ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายของคำถามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงค่อยว่า “ก็เป็นเพื่อนที่คุยสนุกดี…”
“…อ้อ… คุยด้วยได้ก็ดีแล้ว เจ้านั่นอาจจะปากมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก”
ฮันโซไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในส่วนนี้เขาเห็นด้วย หมอนั่นไม่ได้เลวร้าย เพียงแค่หลังจากหลุดปากมาคราวนั้นมาร่วมเดือนอะไรๆ ก็มากขึ้น หวานเลี่ยนเกินไป แอบเนียนแนบชิดจนน่าสงสัย แถมมือไม้จับนู่นแตะนี่ราวกับคนไร้ยางอาย แล้วหัวใจมันก็เต้นแรงมากขึ้นตามไปจนได้ ไรน์ฮาร์ตมองใบหน้าของคนที่ยกถาดชามาเงียบๆ วัดระดับความน่าจะเป็นในสมองและประมวลว่าควรเอ่ยถามคำถามที่ดูละลาบละล้วงมากเกินไปนี่ดีหรือไม่ ให้ตาย แก่จนปูนนี้ทำไมยังต้องมาทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อนำอีก… โตกันป่านนี้แล้ว จัดการกันเองเถอะ พ่อเฒ่าขี้หน่ายคิดตัดบทเอาเรื่องรักใคร่ชายหนุ่มออกจากสมองแล้วกลับมาสนใจเกมกระดานแทน
“ไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะเจ้าหนู” ชายชราถามขึ้นหลังจากริบม้าตัวสำคัญมาจากฝั่งฮันโซ วันนี้คนเยาว์วัยกว่าเล่นหมากกระดานสะเปะสะปะราวคนไม่มีสมาธิ หลังจากเล่นได้เพียงสิบนาทีตัวหมากสีดำที่ถูกกินพองพะเนินอยู่ฝั่งไรน์ฮาร์ตไปเสียเกือบครึ่ง
“หลายเรื่องน่ะ”
“งานเรอะ?”
“ส่วนหนึ่ง…” ตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะยกชาขึ้นจิบ เป็นวิธีเฉไฉหนึ่งที่ไรน์ฮาร์ตรับรู้ว่าอีกฝ่ายอยากให้เปลี่ยนเรื่องคุย
“นี่เจ้าหนู ฟังให้ดีนะ เรื่องอะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเถอะ เก็บมาคิดมากทุกเรื่องแบบนี้มันไม่ช่วยให้แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้หรอก ลองหาคนรับฟังบ้าง ไหล่เบาขึ้นจะได้มองเห็นโลกกว้างขึ้น”
เสียงแหบต่ำฟังดูจริงจังจนฮันโซจำต้องพยักหน้ารับคำ แม้จะค้านในใจก็ตาม เขารู้ว่าทุกอย่างไม่สามารถหาทางแก้ได้ไปพร้อมกัน สมองก็สมองเดียว มือก็แค่สองข้าง จะทำอะไรได้มากมาย แต่ถ้าจะให้เลือกงาน น้องชาย และเพื่อนใหม่ แน่นอนว่าต้องเลือกเก็นจิก่อน แต่ตอนนี้ไม่สามารถหาเบาะแสได้ การจะจ้างนักสืบต้องใช้เงิน เงินได้จากการทำงาน และงานออกแบบของเขาตอนนี้มันไม่เดินก็เพราะแมคครี เจสซี ทุกอย่างมันเป็นลูกโซ่เรียงร้อยกันไปและไม่สามารถทำให้ขาดจากกันได้ นอกเสียจาก…หาคีมมาตัดมันออก อาจจะเหนื่อยแต่คงได้ผลเด็ดขาด คิดเช่นนั้นแม้จะรู้ตัวว่าตนต่างหากที่อ่อนด้อยจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง
“บางเรื่องก็ให้ใจมันตัดสินแทนสมองก็ได้นะ…” แขกสูงวัยเสริมอีกครั้งหลังกวาดตัวหมากด้วยฝ่ามือ
“สมองมีเหตุผลกว่าหัวใจ”
“แต่หัวใจไม่มีทิฐิเท่าสมอง”
ชายสองวัยนั่งจ้องหน้ากันราวไรน์ฮาร์ตเป็นคู่กรณีเสียเอง แต่สุดท้ายแล้วฮันโซก็เป็นฝ่ายถอยก่อน ตาสีน้ำตาลเบนหนีไปพลางเก็บกระดานหมาก
“พูดเพราะหวังดีนะ”
“อืม ผมรู้”
“แต่ก็ความคิดนาย ฉันไม่ก้าวก่ายไปมากกว่านี้หรอก”
“ขอบคุณครับ”
เป็นเวลาน้ำชาที่เพิ่มความเครียดให้เจ้าบ้านยิ่งกว่าเดิมทั้งที่ปกติจะผ่อนคลายกว่านี้มาก เจ้าของมองไล่หลังของแขกผู้มาเยือนทุกวันที่เดินไกลออกไปด้วยสายตาเหม่อลอย ตั้งแต่รู้จักกันมาแม้จะมีความเห็นต่างกันแต่ก็ไม่เคยให้ความรู้สึกว่าทะเลาะกัน คนต่างเชื้อชาติและหัวแข็งทั้งคู่พยายามกระชับมิตรอย่างสุดความสามารถ ตอนแรกยังขลุกขลักเพราะผู้สูงวัยช่างโผงผางในขณะที่เด็กวัยสามสิบสามนิ่งเงียบจนน่ากังวล แต่เมื่อผ่านพ้นความอึดอัดมาได้ก็สบายใจในการพูดคุยมากขึ้น ยอมรับคำติชมเรื่องผลงานศิลปะที่ลูกค้ายินยอมให้นำมาแขวนประดับร้าน น่าจะเป็นครั้งแรกที่โต้เถียงกันด้วยความรู้สึกเช่นนี้ ชวนให้รู้สึกผิดเหมือนหลังทะเลาะกับบิดาอย่างไรชอบกล ดูท่าจะเครียดไปจริงๆ สินะ ฮันโซคิดขณะเก็บถาดชาเข้าไปเก็บในครัว ก่อนอื่นต้องคิดก่อนว่าจะจัดการกับเจสซียังไง สถานะตอนนี้คือแบบไหนตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก จะทำยังไง…?
ร่างสมส่วนเดินกลับมานั่งเอนหลังที่เก้าอี้ทำงาน ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าเพราะห่างหายไปจากการใช้สมองขบคิดหลายเรื่องเช่นนี้มานานหลังจากทิ้งบ้านเกิดมาหรือเพราะเรื่องตอนนี้มันหนักหนาสำหรับตนก็ไม่รู้ หัวมันถึงได้ปวดตุบจนหงุดหงิด ฮันโซเปลี่ยนท่าเป็นฟุบหน้าลงกับโต๊ะแทน ความเย็นจากผิวโต๊ะไม้ช่วยให้อารมณ์เป็นบวกขึ้นบ้าง หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายลงช้าๆ จากที่แค่หวังพักสายตาเริ่มเคลิ้มจนจะหลับ ความเงียบภายในตัวอาคารและอากาศเย็นสบายชวนให้ปิดร้านขึ้นไปนอนเอนตัวบนโซฟาในห้องนอนแทนการนั่งฟุบหลังขดหลังแข็งเช่นนี้
กรุ๊งกริ๊ง~
กระดิ่งติดประตูส่งเสียงแจ้งเตือนให้เจ้าของร้านลืมตาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ร่างสูงผิวแทนที่มาในชุดเสื้อเชิ้ตลายสกอตและกางเกงยีนส์เดินผิวปากเข้ามา สองมือหอบถุงกระดาษที่โอบไว้มาด้วย ฮันโซครวญในใจว่าทำไมเจ้าตัวการของอาการปวดหัวถึงต้องมาอะไรเอาตอนนี้ ยังหาสาเหตุความสับสนเจือหงุดหงิดของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ยังไม่มีทางออกเรื่องความสัมพันธ์จนไม่อยากเจอหน้าที่มักจะยิ้มทะเล้นยียวน
“ไงจ๊ะ มายเอเชียนฮันนี่ วันนี้หน้าบึ้งเชียว เหงาละซี่ เค้าซื้อของสดมาเพียบเลยนะ” แมคครีทักทายแล้ววางถุงของลงบนโต๊ะชงชา ของสด…? ฮันโซมองหน้าแขกประจำคนที่สองของร้านพร้อมแสดงสีหน้างงงันอย่างปิดไม่มิด
“ดินเนอร์กัน เดี๋ยวทำสเต๊กให้ลองชิม” เสียงทุ้มส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามนิสัย สองมือหยิบห่อเนื้อที่เลือกมาอย่างดีขึ้นมาอวด
“ไม่กิน”
“เอ๋? ฉันทำอร่อยน่า เมนูนี้มั่นใจ” ชายปากมากราวกับมีปากรอบตัวยังคงพูดพร่ำโดยไม่ดูสีหน้าเจ้าบ้าน มันน่าหาอะไรมาเย็บปากเสียจริง ชายญี่ปุ่นหน้าบึ้งตึงลุกเดินไปหาแมคครี
“บอกว่าไม่กิน เลิกมาวุ่นวายสักทีได้ไหม รู้ตัวบ้างเถอะว่ามันน่ารำคาญน่ะ” ว่าพลางหยิบถุงข้าวของยัดใส่แขนอีกฝ่ายแล้วดึงลากให้เดินตามไปที่ประตู เขารู้ว่าไม่ผิดที่แมคครีจะอารมณ์ดี แต่ก็ไม่ใช่ความผิดตนที่ปวดหัวแล้วจะอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน
“ทำไมวันนี้ดุจัง?” แขกตัวโตเดินตามไปแม้ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์จนกระทั่งโดนดันหลังออกจากประตูร้าน “ไม่อยากกินฝีมือเค้า…” แผ่นป้ายพลาสติกถูกกลับด้านแสดงข้อความ ‘ปิด’ เสียงดังแกร๊กจากการล็อกประตูดังขึ้นพร้อมกับมูลี่ที่ถูกดึงปิดอย่างไร้เยื่อใย โค้ชยิงปืนยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะคอตกเดินหอบของกลับห้องพักตัวเอง
รู้สึกแย่… ฮันโซรู้สึกขึ้นมาหลังเดินปึงปังขึ้นห้องนอนมาอยู่เงียบๆ คนเดียว ทำอะไรไม่สมกับเป็นตัวเองเอาเสียเลย ปิดร้านก่อนเวลา ทิ้งงานที่ยังทำไม่เสร็จกองไว้ในลิ้นชัก ไม่คิดหาข้าวเย็นกิน ซ้ำยังนอนแบ๊บอยู่บนโซฟาราวนีตใกล้ตาย ไล่เจสซีกลับไปได้แต่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ คนเหม่อลอยนั่งคิดวนไปเรื่อยจนไม่รู้กระทั่งว่าภายในห้องเริ่มมืดแล้ว แสงอาทิตย์สีส้มที่มีเมื่อตอนไล่ชายคนนั้นไปหายไปเหลือแค่แสงจางๆ ของไฟข้างทางที่เล็ดลอดเข้ามา
ติ๊ด!
เสียงร้องบอกเวลาผันผ่านของนาฬิกาข้อมือดึงดูดสายตาชายหนุ่มให้กลับมาสนใจโลกความเป็นจริง หกโมงเย็นแล้ว ปกตินี่ยังไม่ถึงเวลาปิดร้านด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อปิดไปแล้วจะลงไปเปิดอีกก็ใช่ที่ ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นไปเปิดไฟ ควรหาอะไรทำไม่ให้คิดมากจนจมอยู่กับเรื่องพวกนี้ แต่จะทำอะไรล่ะ?
‘ลองหาคนรับฟังบ้าง’
คำแนะนำเมื่อบ่ายแก่ๆ แว่วเข้าหู แต่ฮันโซก็หน้านิ่วกับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าคนรู้จักมักจี่ของตนนั้นนอกจากไรน์ฮาร์ตก็มีแค่เจสซีที่ตัวเองเพิ่งไล่กลับไป เริ่มมองเห็นความลำบากยามไม่คบหาใครขึ้นมาตงิดๆ เหมือนคนไม่มีที่เพิ่งเลยแฮะแบบนี้ ถ้าเก็นจิอยู่ด้วยต้องโดนหัวเราะเยาะแล้วสมน้ำหน้าแน่ที่ไม่ยอมผูกมิตรกับใครไว้ เอาอย่างไรดี วันนี้ดันทำเรื่องมองหน้าไม่ติดกับทั้งสองคนเสียด้วย ควรไปขอโทษรึเปล่านะ? คำตอบแบบไม่ต้องทบทวนคือควร เพราะรู้ดีว่าใครเป็นฝ่ายผิด แบบนี้ไม่ใช่ใช้สมองแก้ปัญหาแล้ว ใช้ความรู้สึกล้วนๆ แถมเป็นอารมณ์แย่ๆ ซะด้วย
“เฮ้อ…” ถอนหายใจพร้อมส่งเสียงต่ำยาวๆ
ไปหาไรน์ฮาร์ตก่อนละกัน เวลานี้คงเปิดร้านแล้วแหละ คิดแล้วก็เดินไปล้างหน้าปรับอารมณ์ให้คงที่ขึ้น หยิบเสื้อนอกมาสวมและกระเป๋าสตางค์แล้วปิดบ้านไปพร้อมกับเตรียมใจพูดขอโทษ เสียงอึกทึกภายในร้านที่ไม่ได้ย่างกรายมาร่วมเดือนยังไม่เปลี่ยนแปลง ตาตี่สอดส่ายไปทั่วชั้น ไม่เจอบริกรสาวชาวเกาหลีคนนั้นที่น่าจะพอถามได้ว่าเจ้าของร้านอยู่ที่ไหน แต่ถ้าให้เดาก็คงจะอยู่ชั้นบนเหมือนครั้งนั้น
สองขาก้าวขึ้นไปพร้อมใจที่หนักอึ้ง เหมือนเด็กวัยรุ่นที่มาปากเสียงกับพ่อแล้วหนีไปหมกตัวในห้องนอนก่อนจะมาขอโทษเมื่อสำนึกได้ มองเห็นร่างสูงใหญ่ของเฒ่าเยอรมันอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์เท่าไรนัก ฮันโซเดินตรงดิ่งไปหาเป้าหมายในทันที ทิ้งมือลงจับไหล่ของอีกฝ่ายที่กำลังคุยกับลูกจ้างอยู่ ไรน์ฮาร์ตหันมาหาก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวนะ ไปหาอะไรดื่มรอก่อนสิ” แล้วหันไปสั่งงานกับชายผิวเข้มทรงผมเดรดล็อก ฮันโซเดินตรงไปนั่งที่เคาน์เตอร์อย่างว่าง่าย ตอนที่ก้มหน้าก้มตาคิดว่าจะสั่งอะไรมาดื่มดีก็มีเสียงทักจากด้านหลัง
“อ๊ะ! คุณฮันโซนี่นา” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงแล้วก็พบเด็กสาวคนที่ตนมองหาเมื่อตอนอยู่ชั้นหนึ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มน่ารักสมวัย “มาดื่มเหรอคะ?”
“อ่า… อืม” ตอบรับไม่เต็มปาก เพราะที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะมาดื่มเลยต่างหาก ไม่ใช่คนจำพวกเครียดแล้วพึ่งพาอบายมุขเสียด้วยสิ ซง ฮานากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกเจ้านายเรียกให้ไปรับออเดอร์เสียก่อน เธอยกมือขึ้นโบกเบาๆ ที่ระดับอกเป็นเชิงว่า ‘ไปก่อนนะคะ’ แล้วรีบเดินไป ครู่หนึ่งคนที่ฮันโซต้องการคุยด้วยก็เดินมา ในมือของเขาถือแก้ววิสกี้ซ้อนกันสองใบและขวดแก้วบรรจุน้ำอำพันสวย
“เอ้า!” ไรน์ฮาร์ตวางแอลกอฮอล์ลงบนบาร์ด้านหน้าคนเด็กกว่า ฮันโซจึงรินสิ่งมอมเมาลงไปในแก้วแล้วเลื่อนส่งให้ชายผู้เป็นเจ้าของบาร์แห่งนี้ ความเย็นจากแก้วที่ส่งผ่านปลายนิ้วชวนให้คิดว่าแก้วนี่เพิ่งออกมาจากตู้แช่รึเปล่า เพราะน้ำแข็งก้อนที่อยู่ในแก้วมีเพียงก้อนเดียวเท่านั้น คู่สนทนายกแก้วขึ้นดื่มจนหมดในคราเดียวแล้ววางแก้วลงดังตึงจนฮันโซที่กำลังจะยกแก้วขึ้นจิบสะดุ้ง ไรน์ฮาร์ตยกมือขึ้นเป็นการเร่งให้ฮันโซดื่ม ฮันโซพยักหน้ายกจิบช้าๆ สัมผัสแรกคือรสมันของเนยและวอลนัต ตามมาด้วยหวานเจือเปรี้ยว และหอมคลุ้งกลิ่นมะนาวผสมบัตเตอร์สกอตช์ รสชาติที่คนชอบรสละมุนน่าจะถูกใจ หลังจากละเลียดรสชาติจนแทบจะดื่มด่ำหนุ่มญี่ปุ่นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม
“เอ่อ… ไรน์ฮาร์ต ผมมีเรื่องจะพูดด้วย” เจ้าตัวขยับตัวนั่งตรงแหน่วพร้อมแววตาจริงจัง ศีรษะของอดีตผู้นำชิมาดะก้มลงจนแทบโขกบาร์ หากยืนโค้งได้คงทำไปแล้ว “ขอโทษนะครับ”
“เรื่องอะไร?” คิ้วขาวของฝ่ายได้รับคำขอโทษขยับเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ก็เมื่อบ่ายที่เรา…ทะเลาะกัน”
“อ้อ” ไรน์ฮาร์ตใช้กำปั้นทุบมืออีกข้างคล้ายเพิ่งนึกออก “ไม่เอาน่า จริงจังเกินไปแล้วเจ้าหนู ฉันแค่แนะนำเอง นายจะเห็นด้วยรึเปล่ามันก็ควายคิดนาย แต่ บ๊ะ! ไอ้เราก็ดีใจที่มาหา นึกว่าจะมีอารมณ์มาดื่มด้วยกันเสียอีก” ชายชราบ่นพร้อมยกขวดบรรจุซิงเกิลมอลต์ขึ้นรินให้อีก ฮันโซเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกโล่งใจกับคำตอบนั้น
“นี่น่ะ เกลนกอยน์ หมักสิบห้าปี… รู้ไหมว่าทำไมฉันเลือกเจ้านี่มาให้” ชายสูงวัยเอ่ยถามหลังจากซดแก้วที่สองหมด คนถูกถามส่ายศีรษะไปมา
“เพราะรสชาติมันแปลกใหม่หลากหลายไงล่ะ ดื่มแล้วกระตุ้นสมองดี เหมาะสำหรับแก้เครียดแบบอ่อนๆ” แน่นอนว่าประโยคหลังนั่นเป็นความเห็นของเจ้าตัวล้วนๆ ไม่มีผลวิจัยหรืออะไรทั้งนั้น แต่ฮันโซก็คิดว่าการเพิ่มน้ำตาลให้สมองยามนี้มันดีขึ้นจริงๆ
“มันก็อร่อยดี ทั้งที่ควรจะขมแต่ดันหวานซะได้…”
“อะไรๆ มันก็ดูแค่ภายนอกไม่ได้หรอก แต่ฉันว่าไอ้หวานอมขม เปรี้ยวอมหวาน หรือหวานแสบคอน่ะมันอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนมากกว่า”
“ผมไม่ชินกับรสหวาน มันอันตรายต่อสุขภาพ” ฮันโซพูดเสียงต่ำ ขยับตัวเปลี่ยนท่าเล็กน้อยพลางหมุนแก้วในมือเล่น ตาสีเข้มมองน้ำแข็งก้อนที่ค่อยๆ ละลายในน้ำสุรา
“รสอะไรมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น รสจืดเองนานๆ ไปก็ไม่ดีกับหัวใจ หลายรสแต่มีความสุขยังจะดีกว่า” คนผ่านน้ำร้อนมามากเปรยสู้กับเสียงอึกทึกรอบข้าง คู่สนทนาอ่อนวัยเงียบไปแต่ยังคงยกแก้วขึ้นจิบ
“น้ำแข็งละลายแล้ว…ก็ไม่หวานมาก”
“…แล้วชอบไหม?”
“…มั้งครับ”
ชอบอะไรกันเหรอคะ เกลนกอยน์เหรอ? ซง ฮานายืนมองชายสองคนที่นั่งคุยกันด้วยความงงงวย หลังจากรับออเดอร์และไปเสิร์ฟเรียบร้อยกลับมาหลังบาร์ก็ตามบทสนทนาไม่ทันเสียแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน รสชาติของวิสกี้เหรอ? แต่ทำไมดูบรรยากาศแปลกๆ กันล่ะ? เด็กสาวมุ่ยหน้าอย่างน่าเอ็นดู เธอส่งข้อความไปหาแมคครีว่าฮันโซมาที่ร้านแต่เจ้าคุณอาขี้หลีคนนั้นกลับไม่ตอบกลับข้อความอะไรเลย แปลกจัง… ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าถ้าวันไหนคุณฮันโซมาให้กระซิบบอกด้วยนี่นา
“ฮานา ขอน้ำแข็งเพิ่มหน่อย”
“อ๊ะ! ค่า” ขายรับเสียงใสก่อนจะนำน้ำแข็งไปเติมให้บอสใหญ่และแขกคนสนิท ฮานาเคยเดินผ่านหน้าร้าน Scatter อยู่หลายครั้ง มองจากข้างนอกดูเป็นร้านสักที่เก๋สะดุดตาดี เธอไม่ค่อยรู้เรื่องศิลปะรอยสักหรือแฟชั่นบนผิวหนังเท่าไหร่ แต่งานของฮันโซที่ลงตัวอย่างในเว็บสวยมาก ขนาดคนไม่สนใจอย่างตัวเธอเองยังแอบมีความคิดเล็กๆ ว่าหรือจะลองสักกับคุณฮันโซดีนะ
จะว่าไปเธอเคยได้ยินมาว่าบอสใหญ่ชอบแวะไปหาคุณฮันโซอยู่บ่อยๆ นี่คงจะจริงสินะเนี่ย พักนี้เหมือนแมคก็ไปสิงที่ร้านคุณฮันโซเหมือนกัน เป็นเพื่อนสนิทกันสิน้า เด็กมหาวิทยาลัยครุ่นคิดขณะที่มือก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างขมักเขม้น ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วๆ จากคนทั้งคู่ที่แอบดักฟังสอดแนมให้แมคครีผู้หายตัวไม่ตอบกระทั่งข้อความ
“ไปก่อนนะครับ ไว้เดี๋ยวจะมาใหม่”
“จำทางได้แน่นะ?” ชายชราถามย้ำอีกครั้ง ฮันโซพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินห่างออกไป สปายผู้แข็งขันกดมือถือขึ้นกดส่งข้อความไปหาแมคครีอีกครั้งด้วยความคิดที่ว่ารับปากแล้วก็ต้องสานต่อให้จบ
‘คุณฮันโซกลับไปแล้ว! (●`ε´●)’
.
.
.
ชั้นสาม ห้องที่ห้า ฝั่งขวามือ ฮันโซท่องวนในสมองขณะเดินขึ้นบันได อาคารที่พักที่ไรน์ฮาร์ตบอกพิกัดให้นั้นคือที่อยู่ของเจสซี แมคครี คู่กรณีคนที่สองของวัน ตึกสูงราวสิบชั้นนี้เขาเคยเห็นผ่านตาตอนออกสำรวจสถานที่เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ก้มหน้าก้มตานับจำนวนขั้นบันไดก็ถึงชั้นสาม ทั้งที่อุตส่าห์เดินขึ้นแทนใช้ลิฟต์เพื่อให้ถึงช้ากว่าเดิมแท้ๆ
1… 2… 3… 4… 5…
ห้องนี้สินะ ตาสีน้ำตาลมองบานประตูข้างหน้าด้วยความรู้สึกกดดัน ละล้าละลังจะเคาะประตูอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ยังไม่ทันข้ามพ้นวันก็เลยไม่อาจข่มกลั้นความกลัวว่าจะโดนด่ากลับไม่ได้ ชายวัยสามสิบสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วพ่นออกซ้ำไปมาหลายครั้งเพื่อเรียกความมั่นใจ แค่ขอโทษเท่านั้น พูดออกไปแล้วก็กลับบ้าน เขายกมือขึ้นค้างกลางอากาศ นิ้วมือยุกยิกๆ ผิดนิสัยก่อนจะเคาะลงไป ยืนรอไม่นานนักก็ได้ยินเสียงลั่นดาลจากข้างในก่อนที่บานประตูจะเปิดออก แมคครีเดินออกมายืนพิงกรอบประตู ใบหน้าหล่อเหลามองมาด้วยสายตาเมินเฉยจนน่าหวั่นใจ ริมฝีปากที่มักเอ่ยคำสรรพนามหยอกล้อเปล่งเสียงราบเรียบ
“ดึกขนาดนี้แล้ว มีธุระอะไรเหรอ?”
……………………………..
สวัสดีค่า ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่จะลงให้อ่านทั้งใน WP และ Dek-d ค่ะ
ตอนแรกกะว่าจะลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่โดนให้ไปงานอีเวนต์กะทันหันก็เลยไม่ได้ลงค่ะ
เพราะเวลากระชั้นกับเดดไลน์โรงพิมพ์และเราวุ่นๆ เล่มนี้ก็เลยไม่มีการเปิดจองนะคะ
แต่คิดว่าจะพิมพ์ไปเผื่อค่ะ น่าจะเหลือถึงรอบไปรนะคะ